วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

อัครสาวกปรินิพพาน (ตอน ๓)


"บุคคลที่สองเล่าพออุปติส  คือผู้ใด ? "

"นั่นท้าวโกสีย์  อมรินทราธิราช จ๊ะ แม่"

"พ่ออุปดิส  ลูกยังสูงกว่าจอมเทพยดาชั้นดาวดึงส์สวรรค์อีกหรือ ? "

"ท้าวโกสีย์  ก็เหมือนกับสามเณรถือบริขารของพระบรมศาสดาเท่านั้นแหละ แม่ !
เมื่อครั้งบรมศาสดาของลูกเสด็จลงจากเทวโลก  ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร
ท้าวโกสีย์องค์นี้  ยังถือบาตรนำเสด็จพระบรมครูของลูกเลย แม่"

"ใครกันเล่า  พ่ออุปติส  ที่เข้ามาหาลูก  หลังจากท้าวโกสีย์เทวราชและใครต่อ
ใครกลับไปแล้ว  ท่านผู้นั้นก็ช่างมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก"

"นั่นท้าวมหาพรหม  จ้ะ  แม่"

"พ่ออุปดิส  ลูกยังเหนือท้าวมหาพรหมอีหรือลูก ? "

"ท้าวมหาพรหมองค์นี้แหละแม่  ในวันที่พระบรมศาสดาของลูกประสูติ  ได้ถือเอา
ข่ายทองเข้ารองรับพระกุมาร  ถวายการบำรุงรักษาพระบรมศาสดาอยู่เนืองนิตย์
แม้ในวันที่พระบรมศาสดาเสด็จลงจากเทวโลก  ก็ยังกั้นเศวตฉัตรถวายปรากฏแก่
เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายที่ประชุมอยู่แทบประตูเมืองสังกัสสนครทั่วทุกคน

นางสารีพราหมณีฟังพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรบรรยายแล้ว  เห็นคุณอันมหัศจรรย์
ในพระมหาเถระว่า  อานุภาพบุตรเรายังปรากฏถึงเพียงนี้แล้ว  และอานุภาพของ
พระชินศรีสัมพุทธเจ้าผู้เป็นครูของบุตรเราคงจะสูงยิ่งกว่านี้เป็นแน่  เกิดปีติเบิกบานใจ

ต่อนั้น  พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็แสดงธรรมพรรณนาพุทธคุณโปรดมารดา
ให้นางสารีพรหามณีมารดา  ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล  เป็นพระอริยบุคคลใน
พระศาสนา  สมมโนรถที่อุตสาหะมาสนองพระคุณมารดา  แล้วพระเถระเจ้าก็เชิญให้
มารดาออกไปพัก  ด้วยดึกมากแล้ว  ครั้นนางสารีพราหมณีออกไปแล้ว  พระเถระเจ้า
จึงถามพระจุนทเถระว่า  "เวลาเท่าใดแล้ว"  เมื่อได้รับคำตอบว่า  "ใกล้รุ่งแล้ว"
จึงสั่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายเข้ามาประชุมพร้อมกัน  ให้พระจุนทเถระพยุงกายท่านขึ้นนั่ง
แล้วกล่าวแก่ภิกษุทั้งหลาย  "ตลอดเวลา ๔๔ พรรษา  ที่ท่านทั้งหลายติดตามมาหาก
กรรมอันใดที่มิชอบใจท่านทั้งหลายจะพึงมี  ท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าเสียเถิด"

ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  ได้เรียนท่านว่า  "ข้าแต่พระเถระเจ้า  ตลอดเวลาที่บรรดา
ข้าพเจ้าติดตามพระเถระเจ้า  ไม่มีกรรมอันใดของพระเถระเจ้าเลย  ที่มิชอบใจข้าพเจ้า
ทั้งหลาย  หากข้าพเจ้าทั้งหลายพึงมีความประมาทสิ่งใดสิ่งหนึ่งในพระเถระเจ้าแล้ว
ขอพระเถระเจ้าได้กรุณาอดโทษแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย"

พอเวลาอรุณปรากฏ  พระธรรมเสนนาสารีบุตรก็ดับขันธปรินิพพานในเวลาวารปุรณมี
แห่งกัตติกมาส  เพ็ญเดือน ๑๒

ครั้นรุ่งเช้า  เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ได้มาสโมสรสันนิบาตทำสักการะศพพระมหา-
เถระเจ้าในที่ปรินิพพาน  ทำที่ประดิษฐานศพประชุมเพลิงงามวิจิตร  ทำฌาปนกิจถวาย
เพลิงสรีระศพของพระมหาเถระเจ้าตามประเพณีนิยม  พระจุนทเถระได้รวบรวมอัฐิธาตุ
ห่อผ้าขาว  แล้วถือเอาบาตรและจีวรของพระมหาเถระเจ้ากับพระธาตุมาสู่พระเชตวันวิหาร
ชวนพระอานนท์เถระเจ้านำเข้าไปทูลถวายพระบรมศาสดา

พระบรมศาสดาทรงรับเอาพระธาตุแล้ว  ตรัสสรรเสริญคุณพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรใน
ท่ามกลางพุทธบริษัทเป็นอันมาก  แล้วโปรดให้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระธาตุพระธรรม-
เสนาบดีสารีบุตรไว้ในพระเชตวนาราม  ครั้นสำเร็จแล้ว  เสด็จไปพระนครราชคฤห์พร้อม
ด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเป็นบริวาร  ประทับที่พระเวฬุวนาราม

ในกาลนั้น  พระมหาโมคคัลลานเถระสถิตอยู่ที่กาฬศิลาประเทศในมคธชนบท  หมู่เดียรถีย์
ทั้งหลายเห็นร่วมกันว่า  "พระโมคคัลลานะเถระเจ้ามีอานุภาพมาก  สามารถไปสวรรค์ได้
ไปนรกได้  ครั้นไปแล้วก็นำเอาข่าวสารจากเทพยดาในสวรรค์  จากสัตว์สรกในแดน
พวกนั้น ๆ  มาบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นญาติ  เป็นมิตรสหายในโลกนี้  มนุษย์ทั้งหลาย
ที่เป็นบิดามารดาและญาติมิตรของเทพยดา  และสัตว์นรกนั้น  ๆ  ก็เลื่อมใสอุปถัมภ์บำรุง
พระพุทธศาสนา  หากพระสมณโคดมก็ดี  พระสงฆ์ทั้งหลายก็ดี  เว้นพระโมคคัลลาน-
เถระเจ้าก็จเตั้งอยู่ไม่ได้  คือไม่อาจยึดเหนี่ยวใจชนทั้งหลายได้เลย  พวกเราทั้งหลายต้อง
เสื่อมคลายความนับถือของมหาชน  เสื่อมจากผล  ก็เพราะพระเถระเจ้าองค์นี้  ดังนั้น
ตราบใด  ที่พระเถระเจ้าองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่  ตราบนั้นชื่อเสียงลาภผลของพวกเราจะดีขึ้นไม่
ได้เลย  ควรหาอุบายจ้างคนฆ่าพระเถระเจ้าเสียเถิด"


                                                            ...............................


                                                                (ยังมีต่ออีก)














วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

อัครสาวกปรินิพพาน (ตอน ๒)


ในครั้งนั้น  ชนทั้งหลายร้องไห้รำพัน  ด้วยความอาลัยในพระเถระเจ้า  ติดตาม
ไปเป็นอันมาก  พระเถระเจ้าได้ให้โอวาท  ให้เห็นความไม่จีรังของสังขาร
ทั้งหลาย  พร้อมกับเตือนใจให้มั่นอยู่ในความมไม่ประมาทในอริยธรรม  แล้วให้
ชนเหล่านั้นพากันกลับไปสิ้น

พระเถระเจ้าเดินทางไป ๗ วัน  ก็ถึงบ้านนาลันทคาม  แคว้นมคธรัฐในเวลาเย็น
จึงพาภิกษุทั้งหลายพักที่ร่มไทยใหญ่ใกล้ประตูบ้าน  บังเอิญอุปเรวัตมาณพ
หลานชายของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร  เดินเที่ยวออกมานอกบ้าน  เห็นพระ
เถระเจ้าเข้า  ก็ดีใจ  เข้าไปนมัสการ

พระเถระเจ้าถามว่า  "อุปเรวัต  ยายของเธออยู่หรือไปไหน ? "

"อยู่ที่เรือ  เจ้าข้า"  อุปเรวัตเรียนพระเถระเจ้าด้วยเคารพ

"ถ้าเช่นนั้น  เธอจงกลับเข้าไปบอกยาย  ขอห้องที่ประสูติให้ลุงพักกับขอให้จัดที่
สำหรับสงฆ์ ๕๐๐ ที่มานี้พอได้พักอาศัยในวันนี้ด้วย"

อุปเรวัตมาณพรีบกลับเข้าบ้าน  ตรงเข้าไปหานางสารีพราหมณีผู้เป็นยายด้วย
ความดีใจ  บอกตามคำที่พระเถระเจ้าสั่งมา

"เวลานี้ลุงของเจ้าอยู่ที่ไหน"

"อยู่ที่ประตูบ้านจ้ะ  ยาย"

"เจ้ารู้ไหมว่า  ลุงเจ้ามาทำไม ? "

"ไม่ทราบจ้ะ"

นางสารีพราหมณีคิดว่า  "อุปดิส ลูกเรา ขอพักที่ห้องประสูติ  เธอบวชมานานแล้ว
ชะรอยจะเบื่อบวช  มาคราวนี้อาจจะสึกก็ได้"  คิดแล้วก็ดีใจสั่งให้คนใช้รีบจัดแจง
ห้องประสูติ  และสถานที่สำหรับพระสงฆ์ห้าร้อยพอพักอาศัยภายในบ้าน  แล้วให้
อุปเรวัตมาณพออกไปอาราธนาพระเถระเจ้า  ให้เข้ามาสู่เรือน

พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร  พาพระสงฆ์บริวารขึ้นเรือนมารดา  ให้พระสงฆ์ทั้งหลาย
พักอาศัยอยู่ยังที่จัดแจงไว้ภายนอก  ส่วนพระเถระเจ้าเข้าไปพักภายในห้องประสูติ
ของท่าน  พอเวลาค่ำ  โรคาพาธกล้าได้เกิดแก่พระมหาเถระ  ถึงอาเจียนเป็นโลหิต
พระภิกษุเข้าถวายปฏิบัติ  นำภาชนะอาเจียนและภาชนะอาจมออกมาชำระผลัด-
เปลี่ยนอยู่เนือง ๆ

นางสารีพราหมณีเป็นทุกข์ใจในอาการอาพาธของพระมหาเถระเจ้าเป็นอันมาก  นั่ง
คอยดูอยู่ที่ประตูห้อง

ในค่ำคืนนั้น  เทพยดาในเทวโลกได้พากันมาเยี่ยมพระเถระเจ้าเป็นอันมาก  เริ่มต้น
แต่ท้าวโลกบาลทั้ง ๔  องค์  ท้าวโกสีย์เทวราช ท้าววสยามเทวราช  และท้าวสันตุสิต-
เทวราช  ตลอดท้าวมหาพรหม  ต่างเข้ามาขอโอกาสปฏิบัติพยาบาลเช่นเดียวกัน
โดยลำดับ

พระเถระเจ้าให้คำตอบแก่เทพยดาทั้งหลายว่า  "ภิกษุคิลานุปัฏฐากผู้ปฏิบัติพยาบาล
ของอาตมามีแล้ว  ขอให้ท่านกลับไปเถิด"

ฝ่ายนางสารีพราหมณี  เห็นเทวดาไปมาไม่ขาด  แต่ละองค์ล้วนมีรัศมีโอภาสงามยิ่งนัก
เพียบพร้อมด้วยทิพยรัตน์สรรพาภรณ์ล้ำค่าทั้งสิ้น  ต่างเข้าไปหาพระเถระเจ้าด้วย
อาการคารวะเป็นอันดี  มีความสงสัยเทพยดานั้นคือใคร  มีธุระอันใดหนอ ? "  จึงเข้าไป
ถามอาการไข้กะพระจุนทเถระบุตรชายคนน้อยว่า  "พ่อจุนทะ  อาการไข้ของอุปติส
พี่ชายของพ่อ  เป็นอย่างไรบ้าง"

"ยังพอทนได้อยู่ดอก แม่"  พระจุนทะตอบ  แล้วแจ้งอาการไข้ให้มารดาฟัง  "ขณะนี้
อาการไข้สงบแล้ว  ทั้งว่างคนเยี่ยมด้วย  แม่เข้าไปหาสนทนากับพี่ใหญ่เถิด"

นางพราหมณีได้โอกาสเข้าไปหาพระเถระเจ้า  แล้วถามว่า  "บุคคลที่เข้ามาหาพ่อ
ก่อนนั้น  คือผู้ใด ? "

"ท้าวจตุโลกบาล จ๊ะ แม่"

นางพราหมณีตะลึงในเกียรติอันสูงของพระลูกชาย  พลางปราศรัยต่อไปว่า  "พ่ออุปติส
พ่อยังเป็นใหญ่กว่าท้าวจตุโลกบาลอีกหรือนี่ ? "

ท้าวจตุโลกบาลก็เหมือนคนอุปัฏฐาก  บำรุงวัดเท่านั้นแหละแม่ !  เมื่อครั้งพระบรม-
ศาสดาของลูกปฏิสนธิในครรภ์ของพระพุทธมารดา  ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่พระองค์นี้
ยังลงมาถวายอารักขาเป็นนิตย์"



..............................................


(ยังมีต่ออีก)











วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

อัครสาวกปรินิพพาน (ตอน ๑)


ฝ่ายพระสารีบุตรเถระถวายวัตรแก่พระบรมศาสดาแล้ว  ถวายปังคม  แล้ว
ไปที่พักในทิวาวิหาร  ขึ้นบัลลังก์สมาธิ  เข้าสู่วิมุตติผลสมาบัติ  ครั้นออก
จากสมาบัติแล้ว  พิจารณาอายุสังขารของตน  ก็ทราบชัดว่ายังดำรงชนมายุ
อยู่ได้อีก ๗ วันเท่านั้น  จึงได้ดำริต่อไปว่า  อาตมาจะไปปรินิพพานในสถาน
ที่ใด  พระราหุลเถระก็ไปปรินิพพานที่ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ในดาวดึงส์
เทวโลก  พระอัญญาโกณฑัญญะเถระก็ไปปรินิพพพาน  ที่ฉัททันตะสระ
ในหิมวันตประเทศ

ต่อนั้น  พระเถระเจ้าปรารภถึงมารดาว่า  มารดาของอาตมานี้ได้เป็นมารดา
พระอรหันต์ถึง ๗ องค์  แม้อย่างนั้นแล้ว  มารดาก็ยังไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ก็อุปนิสัยในมรรคผลจะพึงมีแก่มารดาบ้างหรือไม่หนอ ?  ครั้นพระเถระเจ้า
พิจารณาไป  ก็ทราบชัดว่า  มารดามีอุปนิสัยแห่งพระโสดาบัน  ด้วยธรรมเทศนา
ของอาตมา  มหาชนเป็นอันมากจะได้พลอยมีส่วนได้มรรคผลด้วย  ควรอาตมา
จะไปปรินิพพานที่เรือนมารดาเถิด  ครั้นดำริแล้ว  พระเถระเจ้าจึงเรียกพระจุนทเถระ
ผู้เป็นน้องชายมาสั่งว่า  "จุนทะ เรามาไปเยี่ยมมารดากันเถิด  ท่านจงออกไปบอก
ภิกษุบริษัททั้ง ๕๐๐ ว่า  พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร  มีความประสงค์จะไปบ้าน
นาลันทคาม"  พระจุนทะเถระรับพระบัญชาพระเถระเจ้าแล้ว  ออกไปแจ้งแก่
พระสงฆ์ทั้งปวง

ครั้นพระสงฆ์ทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว  พระสารีบุตรก็พาพระสงฆ์ทั้งปวงไปเฝ้า
พระบรมศาสดายังพระคันธกุฎี  กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็น
อันงาม  บัดนี้  ชีวิตของข้าพระองค์เหลือ ๗ วันเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์
ขอถวายบังคมลาปรินิพพาน"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "สารีบุตร  เธอจะไปปรินิพพาน  ณ  ที่ใด"

"ข้าพระองค์จะไปปรินิพพาน ณ ห้องประสูติ  ในเคหสถานของมารดาข้าพระองค์"

"สารีบุตร  เธอจงกำหนดกาลนั้นโดยควรเถิด"  แล้วทรงรับสั่งต่อไปอีกว่า  "สารีบุตร
บรรดาภิกษุทั้งหลายชั้นน้อง ๆ  จะเห็นพี่อย่างเธอหาได้อยาก  ฉะนั้น  เธอจงแสดง
ธรรมแก่ภิกษุน้อง ๆ  ของเธอ  เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกสำหรับครั้งนี้ก่อนเถิด"

เมื่อพระเถรเจ้าได้รับประทานโอกาสเช่นนั้น  จึงสำแดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปใน
อากาศ  สูงประมาณชั่วลำตาลหนึ่ง  กลับลงมาถวายนมัสการพระบรมศาสดาอีก
ครั้งหนึ่ง  ครั้งที่สองเหาะขึ้นไปสูงได้  ๒ ชั่วลำตาล  กลับลงมาถวายนมัสการอีกครั้ง
หนึ่ง  ครั้งที่ ๓ เหาะขึ้นไปถึง ๓ ชั่วลำตาล  จนถึงครั้งที่ ๗  เหาะขึ้นไป ๗  ชั่วลำตาล
ลอยอยู่บนอากาศ  แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายในท่ามกลางอากาศ  ขณะนั้น
ชาวพระนครสาวัตถีได้มาสโมสรสันนิบาตอยู่เป็นอันมาก  แล้วพระเถรเจ้าก็ลงมา
จากอากาศ  ถวายอภิวาทบังคมลาคลานคล้อยถอยออกมาจากพระคันธกุฎี

ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระมหากรุณา  เสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์
ออกมาส่งพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรถึงหน้าพระคันธกุฎี  ประทับยืนอยู่ที่พื้นแก้วมณี
หน้าพระคันธกุฎีนั้น

พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร  ทำประทักษิณพระบรมศาสดา ๓ รอบ  แล้วประคอง
อัญชลีกราบทูลว่า  "ใที่สุดอสงไขยแสนกัลป์ล่วงมาแล้วนั้น  ข้าพระองค์ได้หมอบ
ลงแทบบาทมูลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอโนมทัสสี  ตั้งปณิธานปรารถนาพบ
พระองค์  และแล้วมโนรถของข้าพระองค์  ก็พลันได้สำเร็จสมประสงค์ตั้งแต่ได้เห็น
พระองค์เป็นปฐมทรรศนะ  บัดนี้ เป็นปัจฉิมทรรศนะแห่งการได้เห็นพระองค์ผู้เป็น
นาถของข้าพระองค์แล้ว"  ทูลเพียงเท่านั้นแล้ว  ก็ประนมหัตถ์ถอยหลังบังคมลา
ออกไปพอควรแล้ว  ก็ถวายนมัสการกราบลงที่พื้นพสุธา  บ่ายหน้าออกไปจาก
พระเชตวนาราม

พระผู้มีพระภาคตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  "ภิกษุทั้งหลาย  เธอจะตามไปส่งพี่ใหญ่
ของเธอ  ก็ตามใจเถิด"

ภิกษุทั้งหลายได้พากันไปส่งพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเป็นอันมาก  ครั้นถึงซุ้มประตู
พระเชวนาราม  พระเถรเจ้าจึงกล่าวห้ามว่า  "ท่านทั้งหลายจงหยุดแต่เพียงนี้เถิด"
พร้อมกับได้ให้โอวาทด้วยวาจาที่นิ่มนวล  ควรดื่มไว้ในใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่
ประมาทเป็นิรันดร  แล้วพาภิกษุผู้เป็นบริวารพ้นจากพระเชตวนาราม  มุ่งหน้าไป
บ้านนาลันทคาม


......................................


(ยังมีต่ออีก)

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ลำดับพรรษายุกาล


จำเดิมแต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตรัสรู้อนุตตราภิเษก
สัมโพธิญาณ  คำนวณพระชนมพรรษายุกาลได้  ๓๕  พระววัสสาแล้ว  ก็เริ่ม
บำเพ็ญปรหิตประโยชน์โปรดเวไนยสัตว์  แต่ปฐมโพธิสมัย  ในพรรษาแรก
เสด็จจำพรรษ  ณ  ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวันพรรษาที่หนึ่ง

ในพรรษาที่ ๒  ที่ ๓  และที่ ๔  เสด็จจำพรรษา  ที่พระเวฬุวันวิหาร  ณ
นครราชคฤห์  รวม  ๓  พรรษา

ในพรรษาที่ ๕  เสด็จำพรรษา  ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน  ใกล้พระนครไพศาลี

ในพรรษาที่ ๖  เสด็จจำพรรษา  บนมกุลบรรพต

ในพรรษาที่ ๗  เสด็จขึ้นไปจำพรรษา  บนปัณฑุกัมพลอาสน์ภายใต้ร่มไม้ปาริชาต
ในดาวดึงส์เทวโลก  แสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา

ในพรรษาที่ ๘  เสด็จจำพรรษา  ที่เกสกลาวัน  ป่าไม้สีเสียดใกล้กรุงสุงสุมารคีรี
ในภัคคราฐ

ในพรรษาที่ ๙  เสด็จจำพรรษา  ที่โฆษิตาราม  เมืองโกสัมพี

ในพรรษาที่ ๑๐  เสด็จไปจำพรรษา  ที่ปาริไลยวันสถาน  อาศัยกุญชรชาติ
ชื่อว่า  ปาริไลยหัตถี  ทำวัตรปฏิบัติ

ในพรรษาที่ ๑๑  เสด็จจำพรรษา  ที่บ้านนาลายพราหมณ์

ในพรรษาที่ ๑๒  เสด็จจำพรรษา  ที่ภายใต้ร่มไม้ปุจิมันทพฤกษ์ (ไม้สะเดา)
อันเป็นรุกขพิมานของ  นเฬรุยักษ์  ใกล้พระนครเวรัญชา

ในพรรษาที่ ๑๓  เสด็จจำพรรษาอยู่ใน  จาลิยบรรพต

ในพรรษาที่ ๑๔  เสด็จจำพรรษา  ที่พระเชตวันวิหาร ณ พระนครสาวัตถี

ในพรรษาที่ ๑๕  เสด็จไปจำพรรษา  ที่โครธารามมหาวิหาร  ใกล้
พระนครกบิลพัสดุ์  อนุเคราะห์ระงับการวิวาทระหว่างพระประยูรญาติทั้งหลาย
ทั้งสองพระนคร

ในพรรษาที่ ๑๖  เสด็จจำพรรษา  ที่อัคคาฬวเจดีย์  ใกล้อาฬวีนคร  หลังจาก
ทรงทรมาณอาฬวกยักษ์ให้สิ้นพยศแล้ว

ในพรรษาที่ ๑๗  เสด็จกลับไปจำพรรษา  ที่เวฬุวันวิหาร  ณ  นครราชคฤห์อีก
๓  พรรษา

ในพรรษาที่ ๑๘  และที่ ๑๙  เสด็จจำพรรษา  ที่จาลิยบรรพต

ในพรรษาที่ ๒๐  เสด็จจำพรรษา  ที่เวฬุวันวิหาร

ในพรรษาที่ ๒๑  ถึงพรรษาที่ ๔๔  รวม  ๒๔  พรรษา  ทรงจำพรรษา
ที่พระเชตวันวิหาร  และบุพพาราม  สลับกัน  คือประทับที่  พระเชตวันวิหาร
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  สร้างถวายคราวนี้  ๑๘  พรรษา (รวมกับก่อนนี้
อีก  ๑  พรรษา  รวมเป็น  ๑๙  พรรษา)  ประทับที่  บุพพารามของมหาอุบาสิกา
วิสาขา  สร้างถวาย  ๖  พรรษา

ครั้นในพรรษาที่ ๔๕  ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้าย  พระบรมศาสดาทรงจำพรรษา  ณ
บ้านเวฬุคาม  ใกล้พระนครไพศาลี  ภายในพรรษาทรงประชวรอาพาธหนัก
ครั้งหนึ่งทรงเยียวยาบำบัดพระโรคาพาธนั้น  ให้ระงับด้วยโอสถ  คือ สมาบัติ
ครั้นออกพรรษา ทรงทำปวารณากับด้วยพระสงฆ์สาวกทั้งปวง  ได้รับสั่งแก่
พระสารีบุตรเถระว่า  "ไม่ช้าแล้วตถาคตก็จะปรินิพพาน  ดูกรสารีบุตร  ตถาคต
จะไปพระนครสาวัตถี"  พระสารีบุตรเถระรับบัญชา  ออกมาสั่งพระสาวกให้
เตรียมการตามเสด็จ  พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก  เสด็จไปประทับ
ณ  พระเชตวันมหาวิหาร.


................................



















วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ทรงเปิดโลก


พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยืนที่ฐานศีรษะบันได  ในท่ามกลางเทพพรหม
บริษัทซึ่งแวดล้อมเป็นบริวาร  จึงได้ทรงทำ  "โลกวิวรณะปาฏิหาริย์เปิดโลกโดย
อาการทอดพระเนตรไปในทิศต่าง ๆ  รวมทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างเป็น  ๑๐  ทิศ
ด้วยกัน  และในทันใดนั้น  ทุกทิศทุกทางจะแลโล่งตลอดหมด  ไม่มีอันใดกีดบัง
เทวดาในสวรรค์จะมองเห็นมนุษย์  และเห็นถึงยมโลก  เห็นนรก  และมนุษย์ก็จะ
เห็นเทวดาในสวรรค์  ไม่มีสิ่งใดปิดบัง  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลก
พร้อมกับเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี  ๖  ประการ  เป็นมหาอัศจรรย์

เทพยดาในหมื่นจักรวาลได้มาประชุมกันในจักรวาลนี้  เพื่อชมพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทำปาฏิหาริย์  พร้อมกับทำสักการบูชา  สมโภชน์พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยทิพย-
บุบผามาลัย  เป็นอเนกประการ

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก  โดยบันไดแก้วมณีมัยในท่ามกลางเทพยดา
ในหมื่นจักรวาล  มีท้าวสักกะ เป็นต้น  ลงโดยบันไดทองสุวรรณมัย  ในเบื้องขวา
ท้าวสหัมบดีพรหมกับหมู่พรหมเป็นอันมาก  ลงโดยบันไดเงินหิรัญญมัย  ในเบื้องซ้าย
ปัญจสิขรคนธรรพ์เทพบุตร  ทรงพิณมีสีดังผลมะตูมสุก  ดีดขับร้องด้วยมธุระศัพท์อัน
ไพเราะมาในเบื้องหน้าพระบรมศาสดา  ท้าวสันตุสิตเทวราชกับท้าวสุยามเทวราช
ทรงทิพยจามรถวายพระบรมศาสดา  ทั้ง ๒ ข้าง  ท้าวมหาพรหมปชาบดีทรงทิพย์เศวต-
ฉัตรกั้นถวายพระบรมศาสดา  ท้าวโกสีย์อมรินทราธิราชประคองบาตรเสลมัยของ
พระบรมศาสดาเสด็จเป็นมัคคุเทศก์นำพระบรมศาสดาลงมา  ในท่ามกลางของทวย
เทพยดาและพรหมทั้งหลายแวดล้อมเป็นบริวาร

ฝ่ายมหาชนทั้งหลาย  ที่ตั้งใจคอยเฝ้าพระบรมศาสดาเสด็จลงจากดาวดึงส์  ในบริเวณ
สถานที่ร่มไม้คัณฑามพฤกษ์ทั้งหมด  เมื่อได้ทราบข่าวจากพระมหาโมคคัลลานเถระ
ก็พากันดีใจ  พร้อมกันออกเดินทางมาจนถึงเมืองสังกัสสนคร  ไปประชุมกันอยู่ในที่
ใกล้ประตูเมือง  แม้บรรดาชาวเมืองสังกัสสนคร  ก็พากันประชุมกันอยู่อย่างคับคั่ง
ตลอดพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอันมีพระสารีบุตรเถระเป็นประธาน  ก็สันนิบาตประชุมกัน
ต้อนรับพระบรมศาสดาอยู่  ณ  ที่นั้นอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จถึงเชิงบันได  มหาชนทั้งหลายได้พากันแซ่ซ้องสาธุการเสียง-
สนั่นหวั่นไหว  ด้วยความงามจับอกจับใจอย่างที่ไม่เคยคิดเคยเห็นมาแต่ก่อน  แม้แต่
พระสารีบุตรพุทธสาวก  ก็ยังได้กล่าวคาถาสรรเสริญด้วยความยินดียิ่งว่า  "น เม ทิฏโธ
ปุพุเพ  เป็นอาทิ  ความว่า  ข้าพระองค์ไม่เคยได้เห็น  ไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อนเลย
พระบรมศาสดาซึ่งงามด้วยสิริโสภาคยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งมวล  มีพระสุรเสียงอันไพเราะ
อย่างนี้  เสด็จลงมาจากสวรรค์"

พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท  ผู้กำลังมีโสมนัสพึงตาพึงใจพระรูป
พระโฉมอยู่ในท่ามกลางเทพยดาและพรหมเป็นอันมาก  ในเวลาจบพระธรรมเทศนา
พุทธบริษัทได้บรรลุอริยผลตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเบื้องปลาย  คือพระอรหัตผลเป็นอันมาก.


...........................................






วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

เสด็จลงจากดาวดึงส์


กาลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว  เสด็จขึ้นไปจำพรรษ
ณ  เทวโลกดาวดึงส์สถานโดยฉับพลัน  ครั้งนั้นมหาชนที่ประชุมกันชมปาฏิหาริย์
กำลังมีความเบิกบานเลื่อมใส  ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจากไปโดยฉับพลัน
เช่นนั้น  ย่อมเป็นเหมือนดังดวงอาทิตย์  หรือดวงจันทร์หลบหายเข้าไปในผืนแผ่น
เมฆอันหนาแน่น  มัวมืดลงไปทันทีทันใดนั้น  ชนทั้งหลายก็เศร้าโศกปริเทวนาการ
จึงพากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลาเถระว่า  "พระผู้มีพระภาคเสด็จไปอยู่ที่ใด"

พระโมคคัลลานเถระ  แม้จะรู้ดีอยู่แล้ว  แต่เพื่อประกาศเกียรติคุณของพระอนุรุธเถระ
จึงกล่าวว่า  "ขอท่านทั้งหลายไปถามพระอนุรุธเถระดูเถิด"  คนทั้งหลายเหล่านั้น
จึงพากันไปหาพระอนุรุธเถระ  แล้วเรียนถามท่าน  พระเถระเจ้าจึงบอกว่า  "พระผู้มี-
พระภาคเจ้า เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ในดาวดึงส์เทวโลก
เพื่อตรัสพระธรรเทศนา อภิธรรม ๗ คัมภีร์โปรดพระพุทธมารดา"  "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อใดเล่า  พระองค์จึงจะเสด็จลงมา ? "  "ดูก่อนท่านทั้งปวง  พระผู้มีพระภาคเจ้า
จะต้องแสดงธรรมแก่ทวยเทพยดาในดาวดึงส์เทวโลกถึง  ๓  เดือน  ต่อเมื่อ
วันมหาปวารณา  จึงจะเสด็จลงมาสู่มนุษย์โลก"

ชนทั้งหลายจึงกล่าวแก่พระมหาโมคคัลลานเถระว่า  "ถ้าพวกข้าพเจ้ามิได้เห็นองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  จะไม่ไปจากที่นี่"  แล้วก็ชวนกันตั้งทับและโชมโรมที่อาศัย
ตามอัธยาศัยองตน ๆ  ตั้งจิตอธิษฐานปาฏิหาริย์อุโบสถตลอดไตรมาสเสมอกัน

แท้จริง  ก่อนแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จขึ้นไปเทวโลก  ก็ทรงทราบถึงเหตุการณ์
นี้ดีแล้ว  ฉะนั้น  จึงได้ตรัสสั่งให้พระมหาโมคคัลลานเถระเอาเป็นธุระแสดงธรรม
และให้จุลอนาถบิณฑิกะเอาธุระสงเคราะห์ด้วยโภชนาหารแก่มหาชน  อันประชุมอยู่
ณ  ที่นั้นตลอดเวลา

ครั้นกาลใกล้ตะถึงวันปาวารณายังอีก ๗ วัน  ชนเหล่านั้นจึงพากันไปหาพระมหา-
โมคคัลลานเถระ  เรียนถามว่า  "พระผู้เป็นเจ้าควรจะกรุณาให้พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย
ได้ทราบว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จลง ณ ที่ไหน  เมื่อใดแน่"  หากข้าพเจ้าทั้ง
หลายมิได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  จะไม่ไปจากที่นี้"

พระโมคคัลลานเถระกล่าวว่า  "เรื่องนี้จะต้องทูลพระบรมศาสดาจึงจะทราบได้"
พระมหาโมคคัลลานเถระจึงสำแดงปาฏิหาริย์  ขึ้นไปบนเทวโลกเข้าเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า  ณ  ปัณฑทุกัมพลศิลาอาสน์  ทูลถามว่า  "บัดนี้บริษัททั้งหลายใคร่จะเห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้า  หากไม่ได้เห็นแล้วก็จะไม่ไปจากที่นั้น  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ในกาลใดพระเจ้าข้า พระองค์จะเสด็จลงสู่มนุษย์โลกและจะเสด็จลงที่สถานที่ใด ? "

พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า  "โมคคัลลานะ  เวลานี้พระสารีบุตรพี่ชายของท่านอยู่
ณ ที่ใดเล่า ? "

"ท่านจำพรรษาอยู่ที่เมืองสังกัสสนคร  พระเจ้าข้า"

"โมคคัลลานะ  ถ้าเช่นนั้น  ตถาคตจะลง  ณ ที่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสนครในวันมหา-
ปวารณา  นับแต่นี้ไปอีก ๗ วัน  โมคคัลลานะ  ถ้าชนทั้งหลายใคร่จะเห็นตถาคต
ก็จงไปสู่ที่นั้นในเวลานั้นเถิด"

พระโมคคัลลานเถระรับพระพุทธบัญชาแล้ว  ก็ลงมาแจ้งข้อความนั้นแก่ชนทั้งหลาย
ผู้ต้องการทราบเรื่องนี้อยู่

ครั้นถึงวันปุรณมี  แห่งอัสสยุชมาส  เพ็ญเดือน ๑๑  พระบรมศาสดาทรงปวารณา
พระวัสสาแล้ว  จึงตรัสบอกแก่ท้าวสักกเทวราชว่า  "ตถาคตจะลงไปสู่มนุษย์โลกในวันนี้
ท้าวโกสีย์จึงนิรมิตบันไดทิพย์ ๓ บันไดลงจากเทวโลก  คือบันไดทองอยู่เบื้องขวา
บันไดเงินอยู่เบื้องซ้าย  บันไดแก้วอยู่ท่ามกลาง  เชิงบันไดทั้ง ๓  ประดิษฐานอยู่
ภาคพื้นปฐพีที่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสนคร  ศีรษะบันไดเบื้องบนจดยอดภูเขาสิเนรุราช
บันไดแก้วนั้นเป็นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง  บันไดทองเป็นที่เทพยดาทั้งหลาย
ตามลงมาส่งเสด็จ  บันไดเงินเป็นที่พรหมทั้งหลายตามลงมาส่งเสด็จ  ขณะนั้นเทพยดา
และพรหมทั้งหลาย  ได้มาประชุมพร้อมกันบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าเต็มทั่วจักรวาล.


.....................................















วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

โปรดพระพุทธมารดา


ในลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริว่า  "พระพุทธเจ้าแด่ปางก่อนนั้น
หลังจากทรงทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว  เสด็จไปจำพรรษา  ณ  ที่ใด ? "   ครั้นทรงทราบ
ด้วยพระอตีตังสญาณว่า  "พระพุทธเจ้าทั้งหลาย  แต่ปางก่อนทุก ๆ  พระองค์  เมื่อ
ได้ทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว  ย่อมเสด็จขึ้นไปจำพรรษา  ณ  ดาวดึงส์สุราลัยเทวโลก
แสดงธรรมโปรดพระพุทธมาดา  สนองพระคุณด้วยกตัญญุตกเวทิตาธรรม  อันบริบูรณ์
อยู่ในพระหฤทัย"  แล้วทรงดำริสืบไปว่า  "แม้พระองค์ก็จะทรงปฏิบัติเช่นนั้น"  ก็แหละ
ครั้นทรงดำริแล้ว  ในขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จลุกจากรัตนบัลลังก์  อันตั้งอยู่
เหนือยอดคัณฑามพพฤกษ์  เสด็จจากสถานที่นั้นไปโดยพลันเหมือนดวงจันทร์ในวันเพ็ญ
หลบหายเข้าไปในกลีบเมฆแฝ่นใหญ่  ขึ้นไปปรากฏพระกายประทับนั่งบนปัณฑุกัมพล-
ศิลาอาสน์  ภายใต้ร่มไม้ปาริชาติ  ณ  ดาวดึงส์สวรรค์เทวโลก

ในลำดับนั้น  ท้าวสหัสสนัยน์เทวราช  ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จขึ้นมาประทับยัง
เทวโลกสถาน  ก็ทรงเกษมศานต์โสมนัส  ประนมหัตถ์ถวายอภิวาทแล้วก็ขอประทาน
โอกาสออกไปประกาศให้เทพยดาทั้งหลายทุกชั้นฟ้า  มาสันนิบาตประชุมกันเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้ารอบพระแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  เพื่อสดับรับพระธรรมเทศนา

ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประสงค์จะให้พระพุทธมารดา  เสด็จมาสู่่ที่ประชุม-
เทพยดานั้น  ครั้นมิได้ทอดพระเนตรเห็น  จึงตรัสถามท้าวโกสีย์ว่า  "พระพุทธมารดา
ของตถาคตอยู่  ณ  ที่ใด ? "  เมื่อท้าวสักกะทราบถึงพระพุทธอัธยาศัยเช่นนั้น  จึงได้
ทูลลาขึ้นไปดุสิตเทวพิภพ  เข้าเฝ้าพระมหามายาเทพเจ้า  ทูลอัญเชิญให้เสด็จไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า  ตามพุทธประสงค์

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธมารดาเสด็จมาประทับในเทวสมาคม
เช่นนั้นแล้ว  ก็ทรงโสมนัส  ตรัสอัญเชิญให้เสด็จมาในที่ใกล้  แล้วทรงประกาศซึ่งพระคุณ
ของมารดาอันยิ่งใหญ่ไพศาลสุดจะคณนาให้ปรากฏในเทวสมาคม

ในลำดับนั้น  ก็ทรงแสดงอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์  โปรดพระพุทธมารดาตลอดไตรมาส
ให้เทพยดาในโลกธาตุที่มาประชุมฟังธรรมอยู่ในที่นั้น  ได้บรรลุมรรคผลสุดที่จะประมาณ
ในอวสานกาลเป็นที่จบคัมภีร์มหาปัฏฐาน  ซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ที่ได้ทรงตั้งพระทัยขึ้นมาสนองพระคุณพระพุทธมารดา


........................................

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ทรงทำยมกปาฏิหาริย์


ครั้นเพลาบ่าย  ประชาชนทั้งหลายได้มาประชุมกัน  ณ  บริเวณรอบต้นคัณฑา
มพฤกษ์เป็นอันมาก  จึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฎี  เพื่อทรง
ทำยมกปาฏิหาริย์  ประทับยืน  ณ  ที่หน้าพระวิหาร  ขณะนั้น  พระสาวกและสาวิกา
ทั้งหลาย  ที่มีฤทธิ์ต่างก็เข้าเฝ้า  ขอประทานโอกาสทำปาฏิหาริย์ถวายพระบรม-
ศาสดาไม่ทรงประทาน  ต่อนั้น พระบรมศาสดาก็ทรงเข้าจตุตถฌานอันเป็นที่ตั้ง
แห่งอภิญญา  ทรงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศเสด็จดำเนินไปมา  ณ  พื้น
รัตนจงกรม  แล้วทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิต  เหมือนพระองค์ขึ้นองค์หนึ่ง  แสดง
อิริยาบถให้ปรากฏสลับกับพระองค์  คือพระองค์เสด็จประทับยืน  พระพุทธนิรมิต
เสด็จประทับนั่ง  พระองค์ประทับนั่ง  พระพุทธนิรมิตประทับยืน  ทุก ๆ อิริยาบถสลับกัน
บางทีพระพุทธนิรมิตตรัสถาม  พระองค์ตรัสตอบ  พระองค์ตรัสถามบ้าง  พระพทุธ
นิรมิตตรัสตอบบ้าง  ในที่สุดทรงทำปาฏิหาริย์ให้เกิดท่อน้ำท่อไฟ  พวยพุ่งออกจาก
พระกายเป็นคู่ ๆ  รอบ ๆ  พระกายเป็นสาย ๆ  ไม่ระคนกัน  สว่างงามจับท้องฟ้านภากาศ
เป็นมหาอัศจรรย์ยิ่งนัก

ครั้งนั้น  เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ประชุมกันชมพระพุทธปาฏิหาริย์มากมายสุด
ที่จะคณนา  พระบรมศาสดาทรงทำปาฏิหาริย์  แล้วก็ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท
ที่สันนิบาตประชุมกันอยู่ในที่นั้น  ในเวลาจบพระธรรมเทศนา  พุทธบริษัททั้งเทพยดา
และมนุษย์  ได้บรรลุอริยมรรคผล เป็นอันมาก.


.....................................

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

พระปิณโฑลภารทวาชะทำปาฏิหาริย์ (ตอน ๒)


พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถามว่า  "เมื่อใด  พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์"

"นับแต่นี้ไปอีก ๔ เดือน  ถึงวันเพ็ญอาสาฬหมาศ  เดือน  ๘  ตถาคตจึง
จะทำปาฏิหาริย์"

ครั้นเดียรถียร์ทั้งหลายได้ทราบข่าวนั้น  ก็เตรียมพร้อมที่จะติดตามไปทำ
ปาฏิหาริย์  ณ  ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า  พร้อมกับประกาศให้มหาชนทราบ
ด้วยว่า  พระสมณโคดมจะหนีเราไปทำปาฏิหาริย์  ณ  เมืองสาวัตถี  เรา
ทั้งหลายจะพากันติดตาม  ไม่ยอมให้หนีไปไหนพ้น

ส่วนพระบรมศาสดาเสด็จจากบิณฑบาตรในพระนครราชคฤห์แล้ว  ก็เสด็จ
พระพุทธดำเนินไปพระนครสาวัตถี  โดยลำดับแห่งมรรค  ด้วยความสบาย
ไม่รีบร้อน  ประทับพักแรมตามระยะทาง  แม้เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายก็พากัน
ติดตามพระบรมศาสดาจนถึงพระนครสาวัตถี  ครั้นถึงพระนครสาวัตถีแล้ว
ได้จัดสร้างมณฑป  ประกาศแก่ชาวเมืองว่า  จะทำปาฏิหาริย์ที่มณฑปนั้น

ครั้งนั้น  พระเจ้าปัสเสนทิโกศล  ทรงทราบข่าวว่า  พระบรมศาสดาเสด็มา
ประทับยังพระเชตวันวิหารแล้ว  จึงเสด็จออกมาเฝ้าแล้วกราบทูลว่า  "บัดนี้
เหล่าเดียรถีย์จัดทำมณฑป  เพื่อจัดแสดงปาฏิหาริย์  หม่อมฉันจะทำมณฑป
ถวาย  เพื่อเป็นที่แสดงปาฏิหาริย์"  ครั้นพระบรมศาสดาทรงห้าม  ก็ได้ทูล
ถามว่า "พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์  ณ  สถานที่ใด ? "   พระบรมศาสดา
ตรัสว่า  "ตถาคตจะทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ร่มไม้มะม่วง"

เมื่อเดียรถีย์ได้ล่วงรู้ข่าวนั้นแล้ว  ก็ให้จัดการทำลายบรรดาต้นมะม่วงใน
บริเวณนั้นทั้งสิ้น  แม้แต่เมล็ดมะม่วงที่เพิ่งงอกขึ้นก็มิให้มี  เพื่อมิให้เป็น
โอกาสแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทำปาฏิหาริย์  ดังพระวาจาที่ทรงรับสั่งแก่
พระเจ้าปัสเสนทิโกศล

ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน  ๘  เวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยสงฆ์สาวก
เสด็จเข้าไปบิณฑบาต  ยังมิทันจะถึงพระนคร  ขณะนั้น  นายอุทยานบาลชื่อว่า
คํณฑะ  ผู้รักษาสวนหลวง ได้เห็นผลมะม่วงผลใหญ่ผลหนึ่งสุกอยู่บนต้น  มีกิ่ง
ใบบังอยู่  มดแดงตอมอยู่โดยรอบ  กาก็กำลังจ้องจะเข้าจิกกิน  นายคัณฑะดีใจ
จึงได้ไล่กาให้บินหนีไป  แล้วสอยผลมะม่วงสุกนั้นลงมา  มุ่งจะเอาไปถวาย
พระเจ้าปัสเสนทิโกศศล  เดินมาในระหว่างทาง  ก็ประจวบพบพระผู้มีพระภาคเจ้า
มีศรัทธาเลื่อมใส  จึงได้น้อมผลมะม่วงสุกผลนั้นเข้าไปถวายพระบรมศาสดา
ครั้นพระองค์ทรงรับแล้ว  ประสงค์จะประทับนั่งเสวยผลมะม่วง  ณ  ที่ตรงนั้น
พระอานนท์เถรเจ้าก็ปูลาดอาสนะถวาย  พร้อมกับเอาผลมะม่วงนั้น  ทำเป็น
อัมพปานะถวายให้ทรงเสวย  ตามพระพุทธประสงค์

ครั้นพระบรมศาสดาทรงเสวยอัมพปานะแล้ว  จึงรับสั่งให้นายอุทยานบาลนั้น
เอาเมล็ดมะม่วงนั้นปลูกลงที่ดิน  ณ  ที่ตรงนั้น  แล้วพระบรมศาสดาก็ทรงอธิษฐาน
ล้างพระหัตถ์รดเมล็ดมะม่วงนั้น  ด้วยพระพุทธานุภาพ  เมล็ดมะม่วงก็เริ่มแตกงอก
ในทันใดนั้นเอง  แล้วเริ่มเกิดเป็นลำต้นแตกใบแตกกิ่งก้านสาขาโดยลำดับ  จนต้น
มะม่วงใหญ่สูงได้ ๑๒ วา ๒ ศอก  พร้อมกับตกช่อ  ออกดอก  ออกผล  อ่อน  แก่
สุกถึงงอม  หล่นตกลงภาคพื้นออกเกลื่อนกล่น  มหาชนเดินผ่านมาก็เก็บบริโภค
มีรสหวานสนิท  ไม่ช้าข่าวมะม่วงพิเศษ  ซึ่งเป็นของอัศจรรย์ก็แพร่ไปทั่วพระนคร
ประชาชนก็พากันสัญจรหลั่งไหลมาชมเป็นอันสุดที่จะประมาณ

ลำดับนั้น  พระเจ้าปัสเสนทิโกศลจึงโปรดให้จัดรักษาต้นมะม่วงตลอดที่ในบริเวณนั้น
ป้องกันมิให้ใครเข้าทำอันตราย  คนทั้งหลายมาชมแล้ว  บ้างก็เก็บกินตามประสงค์
แล้วก็ชวนกันด่าแช่งเหล่าเดียรถีย์ว่าเป็นคนชั่วช้า  มีเจตนาร้าย  จึงให้คนทำลาย
ต้นมะม่วง  แม้แต่เมล็ดที่งอกก็ไม่ให้เหลือ  เพื่อจะมิให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทำปาฏิหาริย์
ให้สมจริงดังพระวาจา  บัดนี้  คัณฑามพฤกษ์เกิดขึ้นเป็นลำดับสูงใหญ่ยิ่งกว่าที่เคย
เห็นมาแต่กาลก่อนแล้ว  พวกเจ้าจะว่าประการใด  บางคนที่คะนองกาย  ก็เอาเมล็ด
มะม่วงขว้างเดียรถีย์  เย้ยหยันให้ได้อาย

ในเวลาเที่ยงวันนั้นเอง  ท้าวสักกอมรินทราธิราชได้บันดาลให้เกิดพายุใหญ่  พัดเป็น
ธุลีรอบบริเวณนั้น  พัดมณฑปของเดียรถีย์ทำลายลงสิ้น  ทั้งบันดาลให้ฝนลูกเห็บใหญ่
ตกถูกเดียรถีย์ทั้งหลาย  ไม่สามารถจะทนทานอยู่ได้  ต้องพากันหนีไปจากที่นั้นสิ้น
ปูรณกัสสปหัวหน้าเดียรถียืทั้งหลาย  ได้รับความอับอายน้อยใจเป็นที่สุด  ได้ใช้เชือก
ผูกหม้อข้าวยาคู  พันเข้ากับคอของตนแล้วกระโดดลงแม่น้ำ  ทำลายชีวิตตนเองเสีย.


...................................











วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

พระปิณโฑลภารทวาชะทำปาฏิหาริย์ (ตอน ๑)



พระมหาโมคคัลลานะได้ปราศรัยกับพระปิณโฑลภารทวาชะว่า  "ได้ยินไหมท่าน?  ผู้คนกำลังกล่าวดูหมิ่นพระศาสนา  เป็นการเสื่อมเสียถึงเกียรติพระบรมศาสดา  ตลอดถึงพระอรหันต์ทั้งหลายด้วย  ฉะนั้นนิมนต์ท่านเหาะไปเอาบาตรไม้จันทน์แดงลูกนั้นเสียเถิด  จะได้เปลื้องคำนินทาว่าร้ายนั้นเสีย"  เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะได้โอกาสจากพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเช่นนั้นแล้ว  ก็เข้าสู่จตุตถฌาน  อันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญา  ทำอิทธิปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ  กับทั้งแผ่นหินใหญ่  ซึ่งยืนเหยียบอยู่นั้นด้วย  เลื่อนลอยไปดุจปุยนุ่นปลิวไปตามสายลม  พระเถรเจ้าเหาะเวียนรอบพระนครราชคฤห์  ปรากฏแก่มหาชนทั่วไป  ชนทั้งหลายพากันเอิกเกริกร้องชมปาฏิหาริย์เสียงลั่นสนั่นไป

ครั้นพระมหาเถรเจ้าเหาะเวียนได้  ๗  รอบแล้ว  ก็สลัดแผ่นหินที่เหยียบอยู่นั้นให้ปลิวตกไปยังที่เดิม  แล้วเหาะมาลอยอยู่เบื้องบนแห่งเรือนท่านราชคฤห์เศรษฐ์นั้น

เมื่อท่านเศรษฐีได้เห็นเช่นนั้น  ก็เกิดปีติเลื่อมใสสุดที่จะประมาณ  ได้หมอบกราบจนอุระจรดถึงพื้น  แล้วร้องอาราธนาพระเถรเจ้า  ให้ลงมาโปรด  เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะลงมานั่งบนอาสนะ  ที่ท่านเศรษฐีได้จัดตกแต่งไว้เป็นอันดีแล้ว  ท่านเศรษฐีก็ให้เอาบาตรไม้จันทน์แดงนั้น  ลงมาบรรจุอาหารอันประณีตลงในบาตรนั้นจนเต็ม  แล้วน้อมถวายพระเถรเจ้าด้วยคารวะอันสูง  พระเถรเจ้ารับบาตรแล้ว  ก็บ่ายหน้ากลับยังวิหาร

ฝ่ายชนทั้งหลายที่ไปธุรกิจในที่อื่นเสีย  กลับมาไม่ทันได้เห็นปาฏิหาริย์นั้น  ก็รีบพากันติดตามพระเถรเจ้าไปเป็นอันมาก  ร้องขอให้ท่านเมตตาแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ  ให้ชมบ้าง  พระเถรเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ชนทั้งหลายนั้นชมตามปรารถนา  แล้วไปสู่วิหาร

พระบรมศาสดาได้ทรงสดับเสียงมหาชนอึ้งอืง  ติดตามพระปิณโฑลภารทวาชะมาเช่นนั้น  จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า  "เสียงอะไร"  พระอานนท์ก็กราบทูลให้ทรงทราบ  จึงรับสั่งให้พาพระปิณโฑลภารทวาชะมาถาม  ครั้นทรงทราบความแล้ว  ก็ทรงตำหนิว่า  เป็นการไม่สมควร  แล้วโปรดให้ทำลายบาตรไม้จันทน์แดงนั้น  ย่อยให้เป็นจุณ  แจกแก่พระสงฆ์ทั้งหลายบดให้เป็นโอสถใส่จักษุ  ทั้งทรงบัญญัติห้ามสาวกทำปาฏิหาริย์สืบไป

ฝ่ายเดียรถีย์ทั้งหลายได้ทราบเหตุนั้นแล้ว  ก็พากันดีใจ  คิดเห็นไปว่าตนได้โอกาสจะยกตนแล้ว  ก็ให้เที่ยวประกาศว่า  "เราจะทำปาฏิหาริย์แข่งฤทธิ์กับพระสมณโคดม"

ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูราชทรงสดับข่าวนั้น  ก็เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  กราบทูลว่า  "ได้ทราบว่า  พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำปาฏิหาริย์หรือประการใด"  เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับว่า  "เป็นจริงอย่างที่ทรงทราบ"  ก็ทูลต่อไปอีกว่า  "บัดนี้  พวกเดียรถีย์ทั้งหลายกำลังเตรียมการทำปาฏิหาริย์ พระองค์จะทำประการใด ? "   "ดูกรมหาบพิตร"  ทรงรับสั่ง  "ถ้าเดียรถีย์ทำปาฏิหาริย์  ตถาคตก็จะทำบ้าง"    "ข้าแต่พระสุคต  ก็พระองค์ทรงบัญญัติห้ามทำปาฏิหาริย์แล้วมิใช่หรือ ? "   "จริงอย่างมหาบพิตรรับสั่ง  แต่ตถาคตจะถามพระองค์บ้าง  พระราชอุทยานของมหาบพิตรทั้งหลายนั้น  ถ้าคนทั้งหลายมาบริโภคผลไม้ต่าง ๆ  มีผลมะม่วงเป็นต้น  ในพระราชอุทยานนั้น  พระองค์จะทำอันใดแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น"   "ข้าแต่พระสุคต  ข้าพระองค์จะให้ลงทัณฑ์แก่คนเหล่านั้น"   "ดูกรมหาบพิตรผิว่าพระองค์เสวยผลไม้ในพระราชอุทยานนั้นเล่า  ควรจะได้รับอาชญาหรือไม่ประการใด ? "   "ข้าแต่พระบรมครู  ข้าพระองค์เป็นเจ้าของ
บริโภคได้ไม่มีโทษ"   "ดูกรมหาบพิตร  ตถาคตก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน  เหตุนั้น  ตถาคตจึงจะทำยมกปาฏิหาริย์  ตามเยี่ยงอย่างพุทธประเพณีสืบมา"

พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถามว่า  "เมื่อใด  พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์ "


............................................

(ยังมีต่อ)

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ยมกปาฏิหาริยฺ์


ในครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จจากพระนครไพศาลี  มาประทับยัง
พระเวฬุวันวิหาร  ณ  พระนครราชคฤห์  อีกวาระหนึ่ง

เศรษฐีผู้หนึ่ง  ซึ่งอยู่ในพระนครราชคฤห์ได้ไม้จันทน์แดงท่อนใหญ่มาท่อนหนึ่ง
มีค่ามาก  ดำริว่า  บัดนี่้มีมหาชนโจษจันกันทั่วไปว่า  ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์
ผู้นี้เป็นพระอรหันต์  แม้สมณะก็มีหลายท่าน  ที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์
เราไม่อาจรู้ได้ว่า  ผู้ใดเป็นพระอรหันต์ที่เราควรจะเคารพนบไหว้  แล้วยอมตนเป็นสาวก
บัดนี้  เห็นควรจะทดลองให้ปรากฏชัดแก่ตาของเราเอง  จึงให้ช่างไม้กลึงไม้จันทน์แดง
ท่อนนั้นเป็นบาตร  ให้เอาไม้ไผ่มาปักลงที่หน้าเรือน  ต่อไม้ไผ่ให้สูงถึง ๑๕ วา  แล้วให้
เอาบาตรผูกแขวนไว้บนปลายไม้นั้น  ให้ประกาศว่า  ท่านผู้ใดเป็นพระอรหันต์ในโลกนี้
ขออัญเชิญให้ท่านผู้นั้นจงเหาะมาในอากาศ  แล้วถือเอาบาตรไม้จันทน์นี้ตามปรารถนา
และข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรภรรยา  จะเคารพนบนอบยอมตนลงเป็นสาวก  นับถือบูชา
ตลอดชีวิต  หากภายใน ๗ วันนี้  ไม่มีผู้ใดที่ทรงคุณ  เป็นพระอรหันต์เหาะมาถือบาตรแล้ว
เราจะถือว่า  ในโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์ดังที่มหาชนกล่าวขวัญถึงเลย

ในเวลานั้น  ได้มีบุคคลหลายคนที่แสดงตนว่า  เป็นพระอรหันต์ด้วยอุบายต่าง ๆ  และจะ
ขอรับบาตรไป  แต่มิได้เหาะไปถือเอาตามประกาศ  ท่านเศรษฐีก็ยืนกรานไม่ยอมให้ทุกราย
แม้เวลาจะล่วงไป ๖ วัน  จนเข้าถึงวันที่ ๗ แล้ว  ก็ยังไม่ปรากฏว่า  มีผู้ใดได้เหาะมาถือ
เอาบาตรตามประกาศของท่านราชคฤห์เศรษฐีนั้น

ประจวบกับในเช้าวันนั้น  ท่านมหาโมคคัลลานเถระ  กับพระปิณโฑลภารทวาชเถระ
ได้ร่วมเดินทางมารับบาตรในพระนครราชคฤห์  หยุดยืนห่มจีวรอยู่ที่พื้นก้อนหินใหญ่
ในภายนอกเมือง  พระมหาเถระทั้งสองได้ยินเสียงมหาชนสนทนากันว่า  วันนี้เป็นวันที่ ๗
วันสุดท้ายของวันประกาศของท่านราชคฤห์เศรษฐีแล้ว  ยังไม่ปรากกว่า  มีพระอรหันต์
องค์ใด  เหาะมาถือเอาบาตรไม้จันทน์แดงไปเลย  พระอรหันต์คงจะไม่มีอยู่ในโลกนี้แน่แล้ว
วันนี้แหละเราจะได้รู้ทั่วกันว่า  ในโลกนี้จะมีพระอรหันต์จริงหรือไม่ ?


..............................................

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

พระนางประชาบดีโคตมี ออกบวช


ส่วนพระนางมหาปชาบดี มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา  จึงเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดา
ยังนิโครธาราม  ทูลขอบรรพชา  พระศาสดาไม่ทรงอนุญาตแม้พระนางเจ้าจะทูล
วอนขอถึงสามครั้ง  ก็ไม่สมพระประสงค์  ทรงโทมนัส  ทรงพระกันแสง
เสด็จกลับพระนิเวศน์

เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จกลับไปประทับยังกูฏาคารศาลา  ป่ามหาวัน
ณ  พระนครไพศาลีแล้ว  พระนางมหาปชาบดีโคตมี  พร้อมด้วยนางกษัตริย์ศากย
ราชวงศ์เป็นอันมาก  ก็ยินดีในการบรรพชา  ปลงพระเกศานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์
พากันเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์  ไปเมืองไพศาลีด้วยพระบาท  ตั้งพระทัย
ขอประทานบรรพชา  ทรงดำเนินไปจนถึงกูฏาคารศาลา  ประทับยืนกันแสงอยู่
ที่ซุ้มประตูกูฏาคารศาลา  ที่พระบรมศาสดาทรงประทับนั้น

ขณะนั้น  พระอานนท์ออกมาพบไต่ถามพระนามมหาปชาบดี  ทราบความแล้ว
ก็รับเป็นภาระนำความกราบทูล  ขอประทานอุปสมบทให้พระนางมหาปชาบดี
ในครั้งแรกพระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต  ตรัสว่า  สตรีไม่ควรอุปสมบท  ภายหลัง
พระอานนท์ทูลถามว่า  หากสตรีบวชแล้ว  จะสามารถปฏิบัติธรรมได้บรรลุอริยมรรค
อริยผล  โดยควรแก่อุปนิสัยหรือไม่   เมื่อพระศาสดา  ตรัสว่า  "สามารถ"
พระอานนท์ก็กราบทูลว่า  ถ้าเช่นนั้นขอให้ทรงพระกรุณาประทานโอกาสให้พระเจ้าน้า
ได้ทรงอุปสมบทเถิด

ทรงรับสั่งว่า  "อานนท์  ผิว่าพระนางมหาปชาบดีโคตมี  จะทรงรับปฏิบัติครุธรรม  ๘
ได้บริบูรณ์  ตถาคตก็อนุญาตให้ได้"

อานนท์  ครุธรรม  ๘  ประการนั้น  ดังนี้


  1. ภิกษุณีแม้จะบวชได้ ๑๐๐  พรรษา  ก็พึงให้ทำอัญชลีเคารพนบนอบภิกษุ แม้บวชในวันเดียวกัน
  2. ภิกษุณีอย่าอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
  3. ภิกษุณี  จะต้องทำอุโบสถธรรม  และรับโอวาท  แต่สำนักสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
  4. ภิกษุณีจำพรรษาแล้ว  ให้พึงทำปวารณาในสำนักอุภโตสงฆ์
  5. ภิกษุณี  หากต้องอยู่ปริวาสกรรม  พึงประพฤติปักขมานัต  (คือ อยู่มานัตถึงกึ่งเดือน)  ในสำนักอุภโตสงฆ์
  6. ภิกษุณี  อุปสมบทในสำนักอุภโตสงฆ์  พึงสมาทานซึ่งวัตรปฏิบัติในธรรม ๖  ประการ  คือ  เว้นจากปาณาติบาต  ถึงวิกาลโภชนะ เป็นต้น  มิให้ล่วง  และศึกษาให้รู้วัตรปฏิบัติต่าง ๆ  สิ้นกาลสองพรรษาเต็ม
  7. ภิกษุณี  อย่าพึงด่าบริภาษภิกษุสงฆ์ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง
  8. ภิกษุณี  นับแต่วันบรรพชาเป็นต้นไป  พึงสดับโอวาทของภิกษุกล่าวสั่งสอนฝ่ายเดียว  ห้ามโอวาทสั่งสอนภิกษุฯ
พระอานนท์เถระเรียนจำครุธรรม  ๘  ประการนั้น  จากพระบรมศาสดา  แล้วก็ออกมา
แจ้งพระพุทธบัญชาแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี  พระนางเจ้าทรงน้อมรับที่จะปฏิบัติ
ด้วยความยินดีทุกประการ  พระอานนท์ก็เข้ามากราบทูลพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ  
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงโปรดประทานบรรพชาอุปสมบทแก่พระนางปชาบดีดคตมี  
กับศากยขัตติยนารีด้วยกันทั้งสิ้น

ครั้นออกพระวัสสา  ปวารณาแล้ว  พระบรมศาสดากับทั้งพระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็เสด็จ
จากเมืองไพศาลี  ไปพระนครสาวัตถี  ประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหาร


...................................