วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง (ตอนที่ ๑)


ครั้นพระบรมศาสดาได้ทรงส่งพระสาวกเหล่าภัททวัคคีย์ไปแล้ว  ก็เสด็จตรงไปยังอุรุเวลาประเทศ  อันตั้งอยู่ในเขตเมืองราชคฤห์มหานคร  ซึ่งเป็นที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปอาจารย์ใหญ่ของชฎิล ๕๐๐

ราชคฤห์นครนั้น เป็นเมืองหลวงแห่งมคธรัฐ ซึ่งเป็นมหาประเทศ  มีพระเจ้าพิมพิสารมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองโดยสิทธิ์ขาด  เป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน มีความเจริญด้านวิทยาความรู้และด้านการค้าขาย  เป็นที่รวมอยู่แห่งบรรดาคณาจารย์เจ้าลัทธิมากมายในสมัยนั้น

ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่ ๆ นั้น  ท่านอุรุเวลกัสสป เป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก  ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นนักบวชจำพวกชฎิล  ท่านมีพี่น้องด้วยกัน ๓ คน  ออกบวชจากตระกูลกัสสปโคตร  ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นพี่ชายใหญ่ มีชฎิล ๕๐๐  เป็นบริวาร ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ อยู่ที่ตำบลอุรุเวลา  ต้นแม่น้ำเนรัญชรานที ตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า  อุรุเวลกัสสป  น้องคนกลางมีชฎิลบริวาร ๓๐๐ ตั้งอาศรมสถานที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา  ถัดเข้าไปอีกตำบลหนึ่ง  จึงได้นามว่า  นทีกัสสป  ส่วนน้องคนเล็ก มีชฎิลบริวาร ๒๐๐  ตั้งอาศรมสถานอยู่ที่คุ้งใต้แห่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น  ต่อไปอีกตำบลหนึ่ง  ซึ่งมีนามว่า  ตำบลคยาสีสะประเทศ  จึงได้นามว่า คยากัสสป  ชฎิลคณะนี้ทั้งหมด มีลัทธิหนักในการบูชาเพลิง

พระบรมศาสดาเสด็จไปถึงอาศรมสถานที่ของท่านอุรุเวลกัสสปในเวลาเย็น  จึงเสด็จตรงไปพบอุรุเวลกัสสปทันที  ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสัก ๑ ราตรี  อุรุเวลกัสสปรังเกียจ ทำอิดเอื้อน ไม่พอใจให้พัก เพราะเห็นพระบรมศาสดาเป็นนักบวชต่างลัทธิของตน  พูดบ่ายเบี่ยงว่า  ไม่มีที่ให้พัก  ครั้นพระบรมศาสดาตรัสขอพักที่โรงไฟ  ซึ่งเป็นสถานที่บูชาเพลิงของชฎิล ด้วยเป็นที่ว่าง ไม่มีชฎิลอยู่อาศัย ทั้งเป็นที่อยู่ของนาคราชดุร้ายด้วย  อุรุเวลกัสสปได้ทูลว่า  พระองค์อย่าพอใจพักที่โรงไฟเลย  ด้วยเป็นที่อยู่ของพญานาคมีพิษร้ายแรง  ทั้งดุร้ายที่สุดอาศัยอยู่  จะได้รับความเบียดเบียนจากนาคราชนั้น ให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต  เมื่อพระบรมศาสดารับสั่งยืนยันว่า นาคราชนั้นจะไม่เบียดเบียนพระองค์เลย  ถ้าท่านอุรุเวลกัสสปอนุญาตให้เข้าอยู่  ท่านอุรุเวลกัสสปจึงได้อนุญาตให้ไปพักแรม

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาค ก็เสด็จเข้าไปยังโรงไฟนั้น  ประทับนั่งดำรงพระสติต่อพระกัมมัฎฐานภาวนา  ฝ่ายพญานาคเห็นพระบรมศาสดาเสด็จเข้ามาประทับในที่นั้น  ก็มีจิตคิดขึ้งเคียด  จึงพ่นพิษตลบไป  ในลำดับนั้น พระบรมศาสดาก็ทรงดพระดำรัสว่า  ควรที่ตถาคตจะแสดงอิทธานุภาพให้เป็นควันไปสัมผัสมังสฉวีและเอ็นอัฐิแห่งพญานาคนี้  ระงับเดชพญานาคให้เหือดหาย  แล้วก็ทรงสำแดงอิทธาภิสังขารดังพระดำรินั้น  พญานาคมิอาจจะอดกลั้นซึ่งความพิโรธได้  ก็บังหวนควันพ่นพิษเป็นเพลิงพลุ่งโพลงขึ้น  พระบรมศาสดาก็สำแดงเตโชกสิณสมาบัติ บันดาลเปลวเพลิงรุ่งโรนจ์โชตนาการ และเพลิงทั้งสองฝ่ายก็บังเกิดขึ้นแสงแดงสว่าง  ดุจเผาผลาญซึ่งโรงไฟนั้นให้เป็นเถ้าธุลี  ส่วนชฎิลทั้งหลายก็แวดล้อมโรงไฟนั้น ต่างเจรจากันว่า พระสมณะนี้มีสิริรูปงามยิ่งนัก  เสียดายที่เธอมาวอดวายเสียด้วยพิษแห่งพญานาคในที่นี้

ครั้นส่วงสมัยราตรีรุ่งเช้า  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็กำจัดฤทธิเดชพญานาคให้อันตรธานหาย  บันดาลให้นาคนั้นขดกายลงในบาตร  แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสป  ตรัสบอกว่า  พญานาคนี้สิ้นฤทธิเดชแล้ว  อุรุเวลกัสสปเห็นดังนั้น  ก็ดำริว่า  พระสมณะนี้มีอานุภาพมาก  ระงับเสียซึ่งฤทธิพญานาคให้อันตรธานพ่ายแพ้ไปได้  ถึงดังนั้นไซ้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา  มีจิตเลื่อมใสในอิทธิปาฏหาริย์   จึงกล่าวว่า  ข้าแต่สมณะ  นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ณ อาศรมของข้าพเจ้าเถิด  ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหารให้ฉันทุกวันเป็นนิตย์

พระบรมศาสดาก็เสด็จประทับยังพนาสณฑ์ตำบทหนึ่ง  ใกล้อาศรมแห่งอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้น  ครั้นสมัยราตรีเป็นลำดับ  ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔  ก็ลงมาสู่สำนักพระบรมโลกนาถ  ถวายอภิวาทและประดิษฐานอยู่ใน ๔ ทิศ  มีทิพยรังสีสว่างดุจกองเพลิงก่อไว้ทั้ง ๔ ทิศ   ครั้นเวลาเช้า  อุรุเวลกัสสปจึงเข้าไปสู่สำนักพระบรมศาสดาทูลว่า  นิมนต์พระสมณะไปฉันภัตตาหารเถิด  ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายแล้ว  แต่เมื่อคืนนี้เห็นรัศมีสว่างไปทั่วพนัสณฑ์สถาน  บุคคลผู้ใดมาสู่สำนักพระองค์ จึงปรากฎรุ่งเรืองในทิศทั้ง ๔  พระบรมศาสดาจึงตรัสบอกว่า  "ดูกรกัสสป  นั้นคือท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔  ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม"  อุรุเวลกัสสปได้สดับดังนั้น  ก็ดำริว่า  พระมหาสมณะองค์นี้มีอานุภาพมาก  ท้าวจาตุมหาราชยังลงมาสู่สำนัก  ถึงกระนั้นก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา.

                                          .........................................................


วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ส่งสาวกประกาศพระศาสนา


เมื่อพระสาวกมีมาก  พอจะเป็นกำลังช่วยพระองค์ประกาศพระศาสนา เพื่อเป็นประโยชน์สุขแก่คนเป็นจำนวนมากได้แลัว  ครั้นออกพรรษาแล้ว  จึงส่งพระสาวกทั้ง ๖๐ นั้น ออกไปประกาศพระศาสนา  ด้วยพระดำรัสว่า

ภิกษุทั้งหลาย ! เราได้พ้นแล้วจากบ่วงรัดรึงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน  ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก  ต่างรูปต่างไป  แต่ละทิศละทาง  อย่าไปรวมกัน ๒ รูปในทางเดียวกัน  จงแสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง  สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสบังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อย มีอยู่ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรม  ย่อมเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้ พึงถึงแล้วผู้ตรัสรู้ธรรมจักมีขึ้นตามโดยลำดับ  แม้เราก็จักไปยังกุรุเวลาเสนานิคม  เพื่อแสดงธรรมเช่นกัน"

ครั้นพระสาวกทั้ง ๖๐ องค์  ถวายบังคมทูลลาพระศาสดา  แล้วได้ออกจากป่าอิสิปตนมิคทายวัน  จาริกไปประกาศพระศาสนายังชนบทน้อยใหญ่ตามพระพุทธประสงค์  ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาาเสนานิคม  ครั้นถึงไร่ฝ้ายในระหว่างทาง เสด็จหยุดพักที่ร่มไม้ต้นหนึ่ง

ขณะนั้น  มาณพ ๓๐ คน  ซึ่งเป็นสหายที่รักใคร่กัน  เรียกว่า  "ภัททวัคคีย์"  อยู่ในราชตระกูลแห่งราชวงศ์โกศล  ต่างคนต่างพาภรรยาของตน ๆ  มาหาความสำราญ  บังเอิญสหายคนหนึ่งไม่มีภรรยา  สหายเหล่านั้นจึงไปหาหญิงโสเภณีคนหนึ่ง มาให้เพื่อนร่วมความสำราญ  ครั้นเผลอไป ไม่ระแวดระวังหญิงโสเภณีนั้น ได้ลักเอาเครื่องแต่งกายและสิ่งของอันมีค่าหนีไป  มาณพทั้ง ๓๐ คนนั้น  จึงออกเที่ยวติดตาม  มาพบพระบรมศาสดาที่ไร่ฝ้ายนั้น  มาณพเหล่านั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลถามว่า  พระองค์ได้ทรงเห็นหญิงผู้นั้นมาทางนี้หรือไม่  พร้อมกับได้ทูลถึงพฤติการณ์ของหญิงนั้นให้ทราบด้วย

พระบรมศาสดาได้ตรัสว่า  "ภัททวัคคีย์ ท่านทั้งหลาย จะแสวงหาหญิงผู้นั้นดี หรือแสวงหาตนของตนดี"  ครั้นสหายเหล่านั้นกราบทูลว่า  "แสวงหาตนดีกว่า"  จึงรับสั่งว่าถ้าเช่นนั้น จงตั้งใจฟัง
เราจะแสดงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย  แล้วทรงแสดง อนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔  ให้ภัททวัคคีย์ทั้ง ๓๐ คนนั้น  ได้ดวงตาเห็นธรรม  ประทานอุปสมบทให้เป็นภิกษุ  แล้วทรงสั่งสอนให้บรรลุอริยผลเบื้องสูง  ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาเช่นเดียวกับสาวก ๖๐  องค์ก่อนนั้น  พระอริยสงฆ์คณะนี้ได้กราบทูลลา แล้วเดินทางไปยังเมืองปาวา  ข้างใต้แห่งแคว้นโกศลชนบท.

                                                     .................................................


วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฐมเทศนา (ตอนที่ ๔)


ขณะที่พระบรมศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ โปรดท่านเศรษฐี ยสมาณพนั่งอยู่ในที่นั้น ได้ฟังเทศนาทั้งสองเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งในที่นั่งนั้นเอง  พิจารณาภูมิธรรมตามกระแสพระธรรมเทศนา  จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน  สำเร็จอริยคุณเบื้องสูงเป็นพระอรหันต์ ณ ที่นั้น  นับว่า
ยสมาณพเป็นพระอรหันต์องค์แรกที่อยู่ในเพศคฤหัสถ์  คือ ยังมิทันได้บวชก็บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นคุณสูงสุดในพระศาสนานี้

ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดา  ไม่ทราบว่าท่านยสะสิ้นอาสวะแล้ว  จึงกล่าวแก่ยสะว่า  "พ่อยสะ  มารดาของเจ้าไม่เห็นเจ้า มีความเศร้าโศกพิไรรำพันยิ่งนัก  เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด"

ท่านยสะแลดูพระบรมศาสดา  พระบรมศาสดาจึงตรัสบอกแก่เศรษฐีให้ทราบว่า  "บัดนี้ ยสะได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์แล้ว มิใช่ผู้ที่จะกลับคืนไปครองฆราวาสอีก"

ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า  "เป็นลาภอันประเสริฐของยสะแล้ว  ขอให้ยสะได้รุ่งเรืองอยูในอนาคาริยวิสัยเถิด"  แล้วกราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดากับพระยสะ ให้ไปรับอาหารบิณฑบาตรด้วยอาการดุษณีภาพ  แล้วก็ถวายบังคมลากลับไปสู่เรือน  แจ้งข่าวแก่ภรรยา พร้อมกับสั่งให้จัดแจงขาทนียโภชนียาหารอันประณีต  เพื่อถวายพระบรมศาสดา

เมื่อท่านเศรษฐีกลับแล้ว  ยสมาณพได้กราบทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุ  พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นพิเศษ  ด้วยยสมาณพได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์แล้ว เพียงแต่ทรงรับให้เข้าอยู่ในภาวะของภิกษุ  ในพระธรรมวินัยได้เท่านั้น  ดังนั้น จึงตรัสพระวาจาแต่สั้น ๆ ว่า  "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว  ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด"  ตัดคำว่า  "เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ"  ข้างท้ายออกเสีย ด้วยพระยสะถึงที่สุดทุกข์แล้ว

ในเวลาเช้าวันนั้น  พระบรมศาสดาก็มา โดยมีพระยสะเป็นพระตามเสด็จ ๑ รูป  เสด็จไปยังเรือนท่านเศรษฐีตามคำอาราธนา  ประทับนั่งยังอาสนะที่ตกแต่งไว้ถวายเป็นอันดี  มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะเข้าเฝ้า  พระบรมศาสดาทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔  ให้สตรีทั้งสองได้ธรรมจักษุ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  ปฏิญาณตนเป็นอุบาสิกาขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต  มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะ ได้เป็นอบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนาก่อนกวาอุบาสิกาทั้งหลายในโลกนี้

ครั้นได้เวลาภัตตกิจ  มารดาบิดาภรรยาเก่าของพระยสะ  ได้จัดการอังคาสด้วยขัชชโภชนาหารอันประณีตด้วยมือตนเอง  เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระบรมศาสดาตรัสอนุโมทนาให้อุบาสกอุบาสิกาทั้ง ๓ นั้น อาจหาญ ร่าเริงในเป็นอันดีแล้ว  เสด็จกลับประทับยังป่าอิสิปตนมิคทายวัน

ครั้งนั้น  มีเศรษฐีบุตรชาวเมืองพาราณาสี ๔ คน คือ  วิมละ ๑  สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑   ควัมปติ ๑  ซึ่งเป็นสหายที่รักใคร่ของพระยสะ  ครั้นได้ทราบข่าวว่า พระยสะออกบวช  เกิดความสนใจใคร่จะรู้ธรรมที่พระยสะมุ่งหมายประพฤติพรต  ดังนั้น  สหายทั้ง ๔ คน จึงพร้อมกันไปพบพระยสะถึงที่อยู่  พระยสะได้พาสหายทั้ง ๔ คนนั้น ไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลให้ทรงสั่งสอน พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดเศรษฐีบุตรทั้ง ๔ นั้น  ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว  พระองค์ทรงประทานอุปสมบทให้เป็นภิกษุ ทั้งทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหันต์ผลในกาลต่อมา  ครั้งนั้น  มีพระอรหันต์ในโลกเป็นจำนวน ๑๑ องค์ด้วยกันรวมทั้งพระบรมศาสดา

ต่อมามีสหายของพระยสะ  ซึ่งเป็นชาวชนบท ๕๐ คน  ได้ทราบข่าวว่าพระยสะออกบวช มีความคิดเช่นเดียวกับสหายของพระยสะทั้ง ๔  นั้น จึงไปหาพระยสะที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน  ได้สดับธรรม มีความเลื่อมใส ได้อุปสมบทและได้บรรลุพระอรหันต์ผลด้วยกันทั้งหมดโดยนัยก่อน  จึงมีพระอรหันต์รวมทั้งพระบรมศาสดาด้วย ๖๑ องค์

                                                 
                                                       ..............................................


วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฐมเทศนา (ตอนที่ ๓)


ในสมัยนั้น  มีมาณพผู้หนึ่ง  ชื่อว่า  ยสะ  เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี  บริบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคาร มีเรือน ๓ หลัง เป็นที่อยู่ประจำใน ๓ ฤดู  อย่างผาสุก อิ่มอยู่ในกามสุขตามฆราวาสวิสัย  ครั้งนั้น ในฤดูฝน พรรษากาลที่พระสัมพุทธเจ้า ทรงจำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน  ซึ่งอยู่ไม่ไกลแต่บ้านยสมณพ  ราตรีหนึ่ง  ยสมาณพนอนหลับก่อน  เหล่านางบำเรอและบริวารนอนหลับภายหลัง  แสงชวาลาที่ตามไว้ยังสว่างอยู่  ยสมาณพตื่นขึ้นเห็นบริวารเหล่านั้นนอนหลับอยู่  ปราศจากสติสัมปชัญญะ  แสดงอาการวิกลวิการไปต่าง ๆ  บ้างกรน คราง ละเมอ เพ้อพึมพำ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีดังแต่กอน  ปรากฏแก่ยสมาณพเหมือนซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้ในป่าช้า  ยสมาณพเห็นแล้วเกิดความสลดใจ  เบื่อหน่าย รำคาญ อยู่ในห้องไม่ติด  ออกอุทานด้วยความสังเวชใจว่า  "ที่นี่วุ่นวาย ไม่เป็นสุข"  แล้วออกจากห้องสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือน  ตรงไปทางที่จะไปป่าอิสิปตนมิคทายวัน

ในเวลานั้น จวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง  ทรงได้ยินเสียงยสมาณพ เดินบ่นมาด้วยความสลดใจ  ใกล้ที่จงกรมเช่นนั้น  จึงรับสั่งเรียกด้วยพระมหากรุณาว่า  "ยสะ ! ที่นี่ไม่วุ่นวาย  ยสะ ! ที่นี่สงบ เป็นสุข  ยสะ !  ท่านมาที่นี่เถิด"  ผ่ายยสมาณพได้ยินเสียงพระศาสดารับสั่งว่า  "ที่นี่ไม่วุ่นวาย  สงบ เป็นสุข"  ก็ดีใจ  ถอดรองเท้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ  ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่  ด้วยความสบายใจ ปราศจากความวุ่นวาย เป็นทางให้ได้ความสงบสุข

พระศาสดาตรัสเทศนาโปรดยสมาณพด้วย  อนุปุพพิกถา แสดงถึงปฏิปทาเบื้องต้น ที่คฤหัสถชนจะพึงสดับ  และปฏิบัติตามได้โดยลำดับ  คือ


๑.  ทาน  พรรณาความเสียสละ  ให้ด้วยความยินดี เพื่อบูชาคุณของท่านผู้มีคุณ  ด้วยความกตัญญู ด้วยความเคารพนับถือ  เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลญาติมิตรด้วยความไมตรี  ด้วยน้ำใจอันงาม  เพื่ออนุเคราะห์ผู้น้อย  ผู้ตกทุกข์ได้ยาก  ด้วยความกรุณาสงสาร

๒.  ศีล  พรรณาความรักษากาย  วาจาเป็นสุภาพ  เรียบร้อย เว้นจากการเบียดเบียนกัน  เพื่อความสงบสุข  ตามหลักแห่งมนุษยธรรม

๓.  สวรรค์  พรรณาถึงอานิสงส์ของผู้บำเพ็ญทาน  รักษาศีล  จะพึงได้พึงถึงความสุข  อย่างเทพเจ้าในสรวงสวรรค์  ยิ่งกว่าความสุขของมนุษย์

๔.  กามาทีนพ  พรรณาถึงโทษของกาม ของผู้บริโภคกามทั้งในมนุษย์ ทั้งในสวรรค์ เป็นช่องทางแห่งทุกข์โทษ  เพราะวุ่นวาย ไม่สงบ เดือดร้อนไม่รู้จักสิ้นสุด  น่าระอา น่าเบื่อหน่าย

๕.  เนกขัมมานิสงส์  พรรณาถึงอานิสงส์ของการหลีกออกจากกาม  เหมือนคนออกจากเรือนไฟที่กำลังติดอยู่  ไม่เร่าร้อน  สงบเย็นใจ  เป็นสุข  ไม่มีภัยไม่มีเวรทุกประการ

ฟอกจิตของยสมาณพ ให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม  ได้ธรรมจักษุเหมือนผ้าที่ซักฟอกให้หมดมลทิน  ควรรจะรับน้ำย้อมได้แล้ว  พระศาสดาจึงแสดง ทุกขนิโรธ อริยสัจ ๔  คือ  ทุกข์  ทุกขสมุทัย  เหตุให้ทุกข์เกิด,  ความดับทุกข์,  และ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  ได้แก่ข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์  โปรดยสมาณพให้ได้เห็นธรรมพิเศษ  ณ  ที่นั่งนั้น

ฝ่ายมารดาของยสมาณพ  ทราบว่าลูกชายหาย  มีความเศร้าโศก บอกแก่เศรษฐีผู้เป็นสามี  ท่านเศรษฐีตกใจ  ให้คนออกติดตามตลอดทางทุกสาย  แม้ตนเองก็ร้อนใจ อยู่ไม่ติด  ออกติดตามด้วย  เผอิญเดินทางผ่านมาใกล้ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน  เห็นรองเท้าของลูก จำได้ ตามเข้าไปหาจนถึงที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่

พระบรมศาสดาทรงตรัสเทศนา  อนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔  โปรดท่านเศรษฐีให้ได้ดวงตาเห็นธรรม  ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา  แสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต  ท่านเศรษฐีได้เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยคนแรก  ก่อนกว่าชนทั้งปวงในพระศาสนานี้

                                                 ...............................................










วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฐมเทศนา (ตอนที่ ๒)


ภิกษุทั้งหลาย  ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริง  ในอริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ อาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว  เราก็ยังไม่อาจยืนยันว่า  เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ  ไม่มีความรู้อันใดเหนือเพียงนั้น

เมื่อใด  ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริง  ในอริยสัจ ๔  เหล่านี้ของเราหมดจดดีแล้ว  เมื่อนั้น เราอาจยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีความรู้อันใดเหนือก็แลปัญญาได้เกิดขึ้นแก่เราชัดว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ ความเกิดครั้งนี้เป็นที่สุดแล้ววบัดนี้  ไม่มีความเกิดอีก

เมื่อพระสัมพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาอยู่  ธรรมจักษุ คือดวงตาอันเห็นธรรม ปราศจากธุลีมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่านโกณฑัญญะว่า  "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา"  พระองค์ทรงทราบว่าท่านโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว  จึงทรงเปล่าอุทานด้วยความเบิกบานพระทัยว่า  "อัญญาสิ  วต  โก  โกณฑัญโญ ๆ "  แปลว่า  "โกณฑัญญะ  ได้รู้แล้วหนอ ๆ "  พระโกณฑัญญะจึงได้คำว่า  อัญญา  อันเป็นคำนำหน้าพระอุทาน เพิ่มชื่อข้างหน้า  พระอัญญาโกณฑัญญะ ตั้งแต่กาลนั้นมา

เมื่อพระผู้มีพระภาค  ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบลง ให้พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุโสดาปัตติมรรค เป็นพระโสดาบันแล้ว  และให้บรรดาอเนกนิกรเทพยดาที่มาประชุมฟังธรรมเทศนาอยู่ ได้บรรลุคุณวิเศษโดยควรแก่วิสัย สุดที่จะคณนา

พระโกณฑัญญะจึงได้ทูลขออุปสมบท เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยของพระสัมพุทธเจ้า  พระองค์ทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้เป็นภิกษุในธรรมวินัย ด้วยพระวาจาว่า  "ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์  เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"  ด้วยพระวาจาเพียงเท่านั้น  ก็ได้สำเร็จเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยอย่างสมบูรณ์  ด้วยเวลานั้นยังมิได้ทรงบัญญัติวิธีอุปสมบทแบบอื่นไว้  ทั้งเพิ่งเป็นการประทานอุปสมบทเป็นครั้งแรกในพระศาสนา  ฉะนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงเป็นพระสงฆ์องค์แรก  เป็นพระอริยบุคคลองค์แรกและเป็นพระสาวกองค์แรกในพระศาสนานี้  เป็นอันว่า  พระรัตนตรัย  คือ  พระพุทธเจ้า  พระธรรมเจ้า  พระสังฆเจ้า ได้เกิดขึ้นแล้วบริบูรณ์ในกาลแต่บัดนั้น

พระบรมศาสดา มีพระพุทธประสงค์จะทรงโปรดพระปัญจวัคคย์ ให้สำเร็จพระอรหัต เพื่อเป็นกำลังในการประกาศพระศาสนาต่อไป  จึงเสด็จจำพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน  ทรงสั่งสอนบรรพชิตทั้ง ๔ รูปที่เหลืออยู่นั้น  ด้วยพระธรรมเทศนาต่าง ๆ  ตามสมควรแก่อัธยาศัย  เมื่อท่านวัปปะและท่านภัททิยะ ได้ธรรมจักษุ  ดวงตาเห็นธรรมอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะแล้ว ทูลขออุปสมบท  พระศาสดาก็ทรงประทานอุปสมบทแก่ท่านทั้งสอง นั้น  เหมือนอย่างประทานแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ  ภายหลังท่านมหานามะและท่านอัสสชิ ได้ธรรมจักษุ แล้วทูลขออุปสมบท  พระบรมศาสดาก็ทรงประทานเหมือนอย่างประทานแก่สาวกทั้ง ๓

ครั้นพระภิกษุปัญจวัคคย์ ตั้งอยู่ในที่พระสาวกแล้ว มีอินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้น แก่กล้า สมควรสดับธรรม จำเริญวิปัสสนา เพื่อวิมุติเบื้องสูงแล้ว  ครั้นถึงแรม ๕ ค่ำ แห่งเดือนสาวนะ คือเดือน ๙ ซึ่งเท่ากับแรม ๕ ค่ำ  เดือน ๘ ไทย  ด้วยสมัยนั้น นับแรมเป็นต้นเดือน  นับขึ้นเป็นปลายเดือน  พระศาสดาจึงได้แสดงพระธรรมสั่งสอนพระปัญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตร  เมื่อพระภิกษุปัญจวัคคีย์ ผู้พิจาณาภูมิธรรมตามกระแสเทศนานั้น  พ้นแล้วจากอาสวะ  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน  สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

ครั้งนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์  คือ  พระสัมพุทธเจ้า ๑  พระอริยสาวก ๕  คือ  พระอัญญาโกณฑัญญะ ๑  พระวัปปะ ๑  พระภัททิยะ ๑  พระมหานามะ ๑  พระอัสสชิ ๑  รวมเป็น ๖ ด้วยประการฉะนี้

                                                     .....................................................

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฐมเทศนา (ตอนที่ ๑)


          ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์นั้น


                               ทรงประกาศพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร


พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับพักในสำนักปัญจวัคคีย์ ๑ ราตรี  ครั้นรุ่งขึ้น เป็นวันปัณณรสี ขึ้น ๑๕ ค่ำ  อาสาฬหมาส  พระองค์จึงได้ทรงประกาศพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  ประทานปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ รูป นั้น ว่า

ภิกษุทั้งหลาย  ที่สุด ๒ อย่าง  บรรพชิตไม่ควรนิยมยินดี คือ กามสุขัลลิกานุโยค  ทำตนให้พัวพันด้วยในกาม เป็นธรรมอันเลว  เป็นหตุตั้งบ้านตั้งเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของพระอริยะ คือผู้บริสุทธิ์ ไม่เป็นประโยชน์นี้อย่าง ๑

อัตตกิลมถานุโยค ทำตนให้ลำบาก เป็นทุกข์  ไม่ทำให้เป็นพระอริยะ ไม่เป็นประโยชน์ นี้อย่าง ๑

ทั้งสองอย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรนิยมยินดี

มัชฌิมาปฏิปทา  เราได้ตรัสรู้แล้ว  ทำดวงตา ปรีชาญาณให้สว่าง เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือสิ้นตัณหาเครื่องรัดรึง

         มัชฌิมาปฏิปทา นั้น เป็นอย่างไร

         มัชฌิมาปฏิปทา นั้น คือ ทางมีองค์ ๘ ทำผู้ดำเนินให้เป็นอริยะนั้นเอง

        องค์  ๘  นั้น อะไรบ้าง

        องค์  ๘  นั้น  คือ  ปัญญาความเห็นชอบ ๑  ความดำริชอบ ๑  วาจาชอบ ๑  การงานชอบ ๑  เลี้ยงชีวิตชอบ ๑  ความเพียรชอบ ๑  ระลึกชอบ ๑  ตั้งใจชอบ ๑

มัชฌิมาปฏิปทานี้แล  เราได้ตรัสรู้แล้ว ทำดวงตา ปรีชาญาณให้สว่างเป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ภิกษุทั้งหลาย ทุกข์นี้อย่างหนึ่ง เป็นอริยสัจจ์  คือ ความเกิดเป็นทุกข์  ความแก่เป็นทุกข์  ความตายเป็นทุกข์  ความแห้งใจ  ความรำพันความเจ็บไข้  ความเสียใจ  ความคับใจ เป็นทุกข์  ความประจวบด้วยสิ่งไม่เป็นที่รัก  ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก  เป็นทุกข์  ความปรารถนาไม่สมหวัง เป็นทุกข์

         ทุกขสมุทัย  เหตุให้เกิดทุกข์  นี้อย่างหนึ่ง เป็นอริยสัจจ์ คือ ตัณหา ความทะเยอทะยานอยาก  ทำให้มีภพมีชาติ  สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี  เพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ

ตัณหา  อะไรบ้าง

        กามตัณหา  คือ  ความทะยานอยากในอารมณ์ที่ใคร่ ๑   ภวตัณหา  คือ  ความทะยานอยากพอใจในภพ ๑   วิภวตัณหา  คือ  ความทะยานอยากพอใจในวิภาวะปราศจากภพ ๑   ตัณหา ๓ ประการนี้แล  เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

        ทุกขนิโรธ  ความดับทุกข์ นี้อย่างหนึ่ง เป็นอริยสัจจ์ คือ  ความดับตัณหาทั้ง ๓  นั้นแหละ  หมดทั้งสิ้น เป็นอเสสวิราคะ  ความสละ ความวางความปล่อย ความไม่พัวพัน  ซึ่งตัณหานั้นแล เป็นความดับทุกข์

      ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  ทางเข้าถึงความดับทุกข์นี้อย่างหนึ่ง เป็นอริยสัจจ์  ได้แก่ อริยมรรค  ทางมีองค์ ๘  นี้แล  ปัญญาเห็นชอบ ๑  ความดำริชอบ ๑  วาจาชอบ ๑  การงานชอบ ๑  เลี้ยงชีวิตชอบ ๑  ความเพียรชอบ ๑  ระลึกชอบ ๑  ตั้งใจชอบ ๑  เป็นทางถึงความดับทุกข์

ภิกษุทั้งหลาย  ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา และแสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า

      ข้อนี้  ทุกข์ การกำหนดรู้ด้วยปัญญา และเราก็ได้กำหนดรู้แล้ว

     ข้อนี้  ทุกขสมุทัย  เหตุให้ทุกข์เกิด ควรละเสียและเราได้ละเสียแล้ว

     ข้อนี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทางเข้าถึงความดับทุกข์ ควรทำให้เกิดและเราก็ได้ทำให้เกิดแล้ว

                                              ....................................................

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โปรดปัญจวัคคีย์

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์นั้น


                               ทรงโปรดปัญจวัคคีย์  ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน


ต่อนั้น  พระองค์ก็ทรงดำริหาคนที่ควรจะได้รับการเทศนาเป็นครั้งแรก  ได้ทรงปรารภถึงอาฬารดาบส และอุททกดาบศ ที่พระองค์ได้เคยอยู่อาศัยศึกษาลัทธิของท่านในกาลก่อน ว่าท่านทั้งสองนี้มีปัญญา ทั้งมีกิเลสเบาบาง  สามารถจะรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน  แต่ท่านทั้งสองได้สิ้นชีพเสียแล้วก่อนหน้า ๗ ราตรี  มัจจุ คือ ความตาย เป็นมารเป็นภัยต่อคุณอันใหญ่ของท่านทั้งสอง  ถ้าท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ได้ฟังธรรมแล้วคงจะได้ตรัสรู้โดยฉับพลันทีเดียว

ภายหลังทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ว่า  เป็นผู้มีอุปนิสัยในอันจะตรัสรู้ธรรม ทั้งมีอุปการะแก่พระองค์มาก  ได้เป็นอุปฐากของพระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา  ครัั้นทรงกำหนดแน่ในพระทัยว่า  จะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ก่อน ดังนั้น  ครั้นเวลาเช้าแห่งวันจาตุททสี  ดิถึขึ้น ๑๔ ค่ำแห่งอาสาฬหมาส คือ เดือน ๘  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว  ก็เสด็จดำเนินไปโดยทางที่จะไปยังเมืองพาราณาสี  อันเป็นทางระหว่างแห่งแม่น้ำคยากับแดนมหาโพธิต่อกัน  ทรงพบอาชีวกผู้หนึ่ง  มีนามว่า  อุปกะ  เดินสวนทางมา  ฝ่ายอุปกะได้เห็นพระรัศมีฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาคงดงามผ่องใส  อย่างที่ไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน  ก็ประหลาดใจ คิดไปว่า  คนผู้นี้ไฉนหนอจึงมีรัศมีโอภาสงามผุดผ่องเป็นสง่างามน่าเคารพยิ่งนัก  จึงเข้าไปใกล้  แล้วปราศรัยด้วยคารวะเป็นอันดีว่า  "ข้าแต่สมณะ อินทรีย์ของท่านผ่องใส บริสุทธิ์ปราศจากราคี ท่านบวชในสำนักไหน ใครเป็นครูของท่าน ท่านเล่าเรียนปฏิบัติธรรมในสำนักอาจารย์ผู้ใด ?  กรุณาแจ้งข้าพเจ้าทราบด้วย"

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า  "ดูกร อุปกะ !  ตถาคตเป็นสยัมภู ตรัสรู้เองด้วยปัญญายิ่ง ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สั่งสอน เป็นสัพพัญญู ตรัสรู้ธรรมทั้งมวล ไม่มีสิ่งใดที่ควรจะรู้ ซึ่งตถาคตไม่รู้ อุปกะ !  เป็นเช่นนั้นแล้ว  ตถาคตจะแสดงว่าใครเป็นครูสั่งสอนเล่า"

อุปกะไม่เชื่อ  ด้วยไม่มีญาณที่จะหยั่งเห็นตาม  ทั้งไม่มีความรู้ที่จะซักถามถึงเหตุอื่นอีก  ได้สั่นศีรษะแล้วก็หลีกไปจากที่นั้น  ตามสันดานของอาชีวกที่มีทิฏฐิ ที่ยึดมั่นแต่ในลัทธิของตนเท่านั้นว่าถูก  อาจารย์ของตนรู้จริง  คนอื่นเปล่า  ต่อนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จโดยทางนั้นต่อไป  พอเพลาสายัณห์ก็บรรลุถึงป่าอิสิปตนมิคทายวัน

ขณะนั้น  ปัญจวัคคีย์ ฤาษีทั้ง ๕  ได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกล  จึงกล่าวนัดหมายกันว่า  พระสมณโคดมเลกละความเพียรในการบำเพ็ญตบะ  ในทุกรกิริยา  บัดนี้  มีร่างกายผ่อใสงดงามยิ่งนัก  คงจะไม่มีโอกาสได้บรรลุพระสัมโพธิญณแล้ว  เสด็จมา ณ ที่นี้ ชะรอยจะมีความรำคาญไม่สบายพระทัย  อยู่ไม่ได้โดยลำพังพระองค์เดียว  จึงเที่ยวสืบเสาะแสวงหาเรา  ดังนั้น  ในบรรดาพวกเรา ใครอย่าทำปัจจุคมต้อนรับ  อย่าไหว้ อย่ากราบ อย่ารับบาตรจีวร  ปูลาดแต่อาสนะไว้ถวาย  ด้วยพระองค์เป็กษัตริย์ขัดติยตระกูลมหาศาล  หากพระองค์ปรารถนาจะนั่ง  ก็จะได้นั่งตามประสงค์  ครั้นทำกติกาสัญญานัดหมายแล้ว ก็นั่งทำเพิกเฉยแสดงอาการไม่เคารพ  ไม่ยินดีในการเสด็จมาของพระผู้มีพระภาค

แต่ครั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ก็บันดาลให้ปัญจัคคีย์ทั้ง ๕ ลืมกติกาสัญญาที่ทำกันไว้หมด  พากันลุกขึ้นยืนประณตน้อมอัญชลีรับบาตร จีวร บางรูปตักน้ำมาล้างพระยุคคลบาท  บางรูปก็ร้องทูลเชิญให้เสด็จประทับ  เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับแล้ว ปัญจวัคคีย์ได้กล่าวปฏิสันถาร ถามถึงทุกข์สุขตามวิสัยของคนที่ต่างถิ่นมาไกลได้พบกัน  หากแต่ใช้สำนวนต่ำ ๆ ว่า  อาวุโส โคตมะ  อันเป็นกิริยาไม่เคารพ  ซึ่งไม่เป็นการสมควร

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า  "ดูกร  ปัญจวัคคีย์ บัดนี้  ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มาครั้งนี้หวังจะแสดงธรรมแก่เธอทั้ง ๕  เธอจงตั้งใจสดับและปฏิบัติตามคำของตถาคต  ไม่ช้านานสักเท่าใดก็จะได้ตรัสรู้ตาม

ปัญจวัคคีย์ไม่เชื่อ  กลับคัดค้านว่า  "อาวุโส  โคตมะ แม้แต่กาลก่อนพระองค์ทรงบำเพ็ญตบะ ทำทุกรกิริยาด้วยความเพียรอย่างแรงกล้า ก็ยังไม่สำเร็จแก่พระสัมมาสัมโพธิญาณ  แล้วไฉนเลิกละความเพียรเวียนมาเป็นผู้มักมากแล้ว  พระองค์จะตรัสรุ็พระสัมมาสัมโพธิญาณได้เล่า"

แม้พระบรมศาสดาจะตรัสเตือนซ้ำอีก  ปัญจวัคคีย์ก็ยังไม่เชื่อ  กล่าวโต้แย้งถึง ๓ ครั้ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเตือนด้วยพระกรุณาให้ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕  หวนระลึกถึงความหลังดูว่า  "ดูกร ปัญจวัคคีย์ วาจาที่ไม่ควรเชื่อคำใด  ตถาคตเคยกล่าวอยู่บ้างหรือ ?   แม้แต่คำว่า ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณนี้  ตถาคตเคยกล่าวกะใคร  ที่ไหน  แต่กาลก่อน"

ด้วยอานุภาพของพระวาจาจริงของพระองค์  เป็นอัศจรรย์ ทำให้พระปัญจวัคคีย์ระลึกเห็นตาม พากันแน่ใจว่า  พระผู้มีพระภาค คงจะได้ตรัสรู้จริงดังพระวาจา  ก็พร้อมกันถวายบังคมพระยุคลบาทด้วยคารวะ  ขอประทานอภัยโทษที่แสดงอาการไม่เคารพต่อพระองค์ในเบื้องต้นทุกประการ.

                                                 .........................................................