วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โปรดปัญจวัคคีย์

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์นั้น


                               ทรงโปรดปัญจวัคคีย์  ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน


ต่อนั้น  พระองค์ก็ทรงดำริหาคนที่ควรจะได้รับการเทศนาเป็นครั้งแรก  ได้ทรงปรารภถึงอาฬารดาบส และอุททกดาบศ ที่พระองค์ได้เคยอยู่อาศัยศึกษาลัทธิของท่านในกาลก่อน ว่าท่านทั้งสองนี้มีปัญญา ทั้งมีกิเลสเบาบาง  สามารถจะรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน  แต่ท่านทั้งสองได้สิ้นชีพเสียแล้วก่อนหน้า ๗ ราตรี  มัจจุ คือ ความตาย เป็นมารเป็นภัยต่อคุณอันใหญ่ของท่านทั้งสอง  ถ้าท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ได้ฟังธรรมแล้วคงจะได้ตรัสรู้โดยฉับพลันทีเดียว

ภายหลังทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ว่า  เป็นผู้มีอุปนิสัยในอันจะตรัสรู้ธรรม ทั้งมีอุปการะแก่พระองค์มาก  ได้เป็นอุปฐากของพระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา  ครัั้นทรงกำหนดแน่ในพระทัยว่า  จะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ก่อน ดังนั้น  ครั้นเวลาเช้าแห่งวันจาตุททสี  ดิถึขึ้น ๑๔ ค่ำแห่งอาสาฬหมาส คือ เดือน ๘  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว  ก็เสด็จดำเนินไปโดยทางที่จะไปยังเมืองพาราณาสี  อันเป็นทางระหว่างแห่งแม่น้ำคยากับแดนมหาโพธิต่อกัน  ทรงพบอาชีวกผู้หนึ่ง  มีนามว่า  อุปกะ  เดินสวนทางมา  ฝ่ายอุปกะได้เห็นพระรัศมีฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาคงดงามผ่องใส  อย่างที่ไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน  ก็ประหลาดใจ คิดไปว่า  คนผู้นี้ไฉนหนอจึงมีรัศมีโอภาสงามผุดผ่องเป็นสง่างามน่าเคารพยิ่งนัก  จึงเข้าไปใกล้  แล้วปราศรัยด้วยคารวะเป็นอันดีว่า  "ข้าแต่สมณะ อินทรีย์ของท่านผ่องใส บริสุทธิ์ปราศจากราคี ท่านบวชในสำนักไหน ใครเป็นครูของท่าน ท่านเล่าเรียนปฏิบัติธรรมในสำนักอาจารย์ผู้ใด ?  กรุณาแจ้งข้าพเจ้าทราบด้วย"

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า  "ดูกร อุปกะ !  ตถาคตเป็นสยัมภู ตรัสรู้เองด้วยปัญญายิ่ง ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สั่งสอน เป็นสัพพัญญู ตรัสรู้ธรรมทั้งมวล ไม่มีสิ่งใดที่ควรจะรู้ ซึ่งตถาคตไม่รู้ อุปกะ !  เป็นเช่นนั้นแล้ว  ตถาคตจะแสดงว่าใครเป็นครูสั่งสอนเล่า"

อุปกะไม่เชื่อ  ด้วยไม่มีญาณที่จะหยั่งเห็นตาม  ทั้งไม่มีความรู้ที่จะซักถามถึงเหตุอื่นอีก  ได้สั่นศีรษะแล้วก็หลีกไปจากที่นั้น  ตามสันดานของอาชีวกที่มีทิฏฐิ ที่ยึดมั่นแต่ในลัทธิของตนเท่านั้นว่าถูก  อาจารย์ของตนรู้จริง  คนอื่นเปล่า  ต่อนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จโดยทางนั้นต่อไป  พอเพลาสายัณห์ก็บรรลุถึงป่าอิสิปตนมิคทายวัน

ขณะนั้น  ปัญจวัคคีย์ ฤาษีทั้ง ๕  ได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกล  จึงกล่าวนัดหมายกันว่า  พระสมณโคดมเลกละความเพียรในการบำเพ็ญตบะ  ในทุกรกิริยา  บัดนี้  มีร่างกายผ่อใสงดงามยิ่งนัก  คงจะไม่มีโอกาสได้บรรลุพระสัมโพธิญณแล้ว  เสด็จมา ณ ที่นี้ ชะรอยจะมีความรำคาญไม่สบายพระทัย  อยู่ไม่ได้โดยลำพังพระองค์เดียว  จึงเที่ยวสืบเสาะแสวงหาเรา  ดังนั้น  ในบรรดาพวกเรา ใครอย่าทำปัจจุคมต้อนรับ  อย่าไหว้ อย่ากราบ อย่ารับบาตรจีวร  ปูลาดแต่อาสนะไว้ถวาย  ด้วยพระองค์เป็กษัตริย์ขัดติยตระกูลมหาศาล  หากพระองค์ปรารถนาจะนั่ง  ก็จะได้นั่งตามประสงค์  ครั้นทำกติกาสัญญานัดหมายแล้ว ก็นั่งทำเพิกเฉยแสดงอาการไม่เคารพ  ไม่ยินดีในการเสด็จมาของพระผู้มีพระภาค

แต่ครั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ก็บันดาลให้ปัญจัคคีย์ทั้ง ๕ ลืมกติกาสัญญาที่ทำกันไว้หมด  พากันลุกขึ้นยืนประณตน้อมอัญชลีรับบาตร จีวร บางรูปตักน้ำมาล้างพระยุคคลบาท  บางรูปก็ร้องทูลเชิญให้เสด็จประทับ  เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับแล้ว ปัญจวัคคีย์ได้กล่าวปฏิสันถาร ถามถึงทุกข์สุขตามวิสัยของคนที่ต่างถิ่นมาไกลได้พบกัน  หากแต่ใช้สำนวนต่ำ ๆ ว่า  อาวุโส โคตมะ  อันเป็นกิริยาไม่เคารพ  ซึ่งไม่เป็นการสมควร

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า  "ดูกร  ปัญจวัคคีย์ บัดนี้  ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มาครั้งนี้หวังจะแสดงธรรมแก่เธอทั้ง ๕  เธอจงตั้งใจสดับและปฏิบัติตามคำของตถาคต  ไม่ช้านานสักเท่าใดก็จะได้ตรัสรู้ตาม

ปัญจวัคคีย์ไม่เชื่อ  กลับคัดค้านว่า  "อาวุโส  โคตมะ แม้แต่กาลก่อนพระองค์ทรงบำเพ็ญตบะ ทำทุกรกิริยาด้วยความเพียรอย่างแรงกล้า ก็ยังไม่สำเร็จแก่พระสัมมาสัมโพธิญาณ  แล้วไฉนเลิกละความเพียรเวียนมาเป็นผู้มักมากแล้ว  พระองค์จะตรัสรุ็พระสัมมาสัมโพธิญาณได้เล่า"

แม้พระบรมศาสดาจะตรัสเตือนซ้ำอีก  ปัญจวัคคีย์ก็ยังไม่เชื่อ  กล่าวโต้แย้งถึง ๓ ครั้ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเตือนด้วยพระกรุณาให้ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕  หวนระลึกถึงความหลังดูว่า  "ดูกร ปัญจวัคคีย์ วาจาที่ไม่ควรเชื่อคำใด  ตถาคตเคยกล่าวอยู่บ้างหรือ ?   แม้แต่คำว่า ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณนี้  ตถาคตเคยกล่าวกะใคร  ที่ไหน  แต่กาลก่อน"

ด้วยอานุภาพของพระวาจาจริงของพระองค์  เป็นอัศจรรย์ ทำให้พระปัญจวัคคีย์ระลึกเห็นตาม พากันแน่ใจว่า  พระผู้มีพระภาค คงจะได้ตรัสรู้จริงดังพระวาจา  ก็พร้อมกันถวายบังคมพระยุคลบาทด้วยคารวะ  ขอประทานอภัยโทษที่แสดงอาการไม่เคารพต่อพระองค์ในเบื้องต้นทุกประการ.

                                                 .........................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น