วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

พระปิณโฑลภารทวาชะทำปาฏิหาริย์ (ตอน ๒)


พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถามว่า  "เมื่อใด  พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์"

"นับแต่นี้ไปอีก ๔ เดือน  ถึงวันเพ็ญอาสาฬหมาศ  เดือน  ๘  ตถาคตจึง
จะทำปาฏิหาริย์"

ครั้นเดียรถียร์ทั้งหลายได้ทราบข่าวนั้น  ก็เตรียมพร้อมที่จะติดตามไปทำ
ปาฏิหาริย์  ณ  ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า  พร้อมกับประกาศให้มหาชนทราบ
ด้วยว่า  พระสมณโคดมจะหนีเราไปทำปาฏิหาริย์  ณ  เมืองสาวัตถี  เรา
ทั้งหลายจะพากันติดตาม  ไม่ยอมให้หนีไปไหนพ้น

ส่วนพระบรมศาสดาเสด็จจากบิณฑบาตรในพระนครราชคฤห์แล้ว  ก็เสด็จ
พระพุทธดำเนินไปพระนครสาวัตถี  โดยลำดับแห่งมรรค  ด้วยความสบาย
ไม่รีบร้อน  ประทับพักแรมตามระยะทาง  แม้เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายก็พากัน
ติดตามพระบรมศาสดาจนถึงพระนครสาวัตถี  ครั้นถึงพระนครสาวัตถีแล้ว
ได้จัดสร้างมณฑป  ประกาศแก่ชาวเมืองว่า  จะทำปาฏิหาริย์ที่มณฑปนั้น

ครั้งนั้น  พระเจ้าปัสเสนทิโกศล  ทรงทราบข่าวว่า  พระบรมศาสดาเสด็มา
ประทับยังพระเชตวันวิหารแล้ว  จึงเสด็จออกมาเฝ้าแล้วกราบทูลว่า  "บัดนี้
เหล่าเดียรถีย์จัดทำมณฑป  เพื่อจัดแสดงปาฏิหาริย์  หม่อมฉันจะทำมณฑป
ถวาย  เพื่อเป็นที่แสดงปาฏิหาริย์"  ครั้นพระบรมศาสดาทรงห้าม  ก็ได้ทูล
ถามว่า "พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์  ณ  สถานที่ใด ? "   พระบรมศาสดา
ตรัสว่า  "ตถาคตจะทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ร่มไม้มะม่วง"

เมื่อเดียรถีย์ได้ล่วงรู้ข่าวนั้นแล้ว  ก็ให้จัดการทำลายบรรดาต้นมะม่วงใน
บริเวณนั้นทั้งสิ้น  แม้แต่เมล็ดมะม่วงที่เพิ่งงอกขึ้นก็มิให้มี  เพื่อมิให้เป็น
โอกาสแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทำปาฏิหาริย์  ดังพระวาจาที่ทรงรับสั่งแก่
พระเจ้าปัสเสนทิโกศล

ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน  ๘  เวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยสงฆ์สาวก
เสด็จเข้าไปบิณฑบาต  ยังมิทันจะถึงพระนคร  ขณะนั้น  นายอุทยานบาลชื่อว่า
คํณฑะ  ผู้รักษาสวนหลวง ได้เห็นผลมะม่วงผลใหญ่ผลหนึ่งสุกอยู่บนต้น  มีกิ่ง
ใบบังอยู่  มดแดงตอมอยู่โดยรอบ  กาก็กำลังจ้องจะเข้าจิกกิน  นายคัณฑะดีใจ
จึงได้ไล่กาให้บินหนีไป  แล้วสอยผลมะม่วงสุกนั้นลงมา  มุ่งจะเอาไปถวาย
พระเจ้าปัสเสนทิโกศศล  เดินมาในระหว่างทาง  ก็ประจวบพบพระผู้มีพระภาคเจ้า
มีศรัทธาเลื่อมใส  จึงได้น้อมผลมะม่วงสุกผลนั้นเข้าไปถวายพระบรมศาสดา
ครั้นพระองค์ทรงรับแล้ว  ประสงค์จะประทับนั่งเสวยผลมะม่วง  ณ  ที่ตรงนั้น
พระอานนท์เถรเจ้าก็ปูลาดอาสนะถวาย  พร้อมกับเอาผลมะม่วงนั้น  ทำเป็น
อัมพปานะถวายให้ทรงเสวย  ตามพระพุทธประสงค์

ครั้นพระบรมศาสดาทรงเสวยอัมพปานะแล้ว  จึงรับสั่งให้นายอุทยานบาลนั้น
เอาเมล็ดมะม่วงนั้นปลูกลงที่ดิน  ณ  ที่ตรงนั้น  แล้วพระบรมศาสดาก็ทรงอธิษฐาน
ล้างพระหัตถ์รดเมล็ดมะม่วงนั้น  ด้วยพระพุทธานุภาพ  เมล็ดมะม่วงก็เริ่มแตกงอก
ในทันใดนั้นเอง  แล้วเริ่มเกิดเป็นลำต้นแตกใบแตกกิ่งก้านสาขาโดยลำดับ  จนต้น
มะม่วงใหญ่สูงได้ ๑๒ วา ๒ ศอก  พร้อมกับตกช่อ  ออกดอก  ออกผล  อ่อน  แก่
สุกถึงงอม  หล่นตกลงภาคพื้นออกเกลื่อนกล่น  มหาชนเดินผ่านมาก็เก็บบริโภค
มีรสหวานสนิท  ไม่ช้าข่าวมะม่วงพิเศษ  ซึ่งเป็นของอัศจรรย์ก็แพร่ไปทั่วพระนคร
ประชาชนก็พากันสัญจรหลั่งไหลมาชมเป็นอันสุดที่จะประมาณ

ลำดับนั้น  พระเจ้าปัสเสนทิโกศลจึงโปรดให้จัดรักษาต้นมะม่วงตลอดที่ในบริเวณนั้น
ป้องกันมิให้ใครเข้าทำอันตราย  คนทั้งหลายมาชมแล้ว  บ้างก็เก็บกินตามประสงค์
แล้วก็ชวนกันด่าแช่งเหล่าเดียรถีย์ว่าเป็นคนชั่วช้า  มีเจตนาร้าย  จึงให้คนทำลาย
ต้นมะม่วง  แม้แต่เมล็ดที่งอกก็ไม่ให้เหลือ  เพื่อจะมิให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทำปาฏิหาริย์
ให้สมจริงดังพระวาจา  บัดนี้  คัณฑามพฤกษ์เกิดขึ้นเป็นลำดับสูงใหญ่ยิ่งกว่าที่เคย
เห็นมาแต่กาลก่อนแล้ว  พวกเจ้าจะว่าประการใด  บางคนที่คะนองกาย  ก็เอาเมล็ด
มะม่วงขว้างเดียรถีย์  เย้ยหยันให้ได้อาย

ในเวลาเที่ยงวันนั้นเอง  ท้าวสักกอมรินทราธิราชได้บันดาลให้เกิดพายุใหญ่  พัดเป็น
ธุลีรอบบริเวณนั้น  พัดมณฑปของเดียรถีย์ทำลายลงสิ้น  ทั้งบันดาลให้ฝนลูกเห็บใหญ่
ตกถูกเดียรถีย์ทั้งหลาย  ไม่สามารถจะทนทานอยู่ได้  ต้องพากันหนีไปจากที่นั้นสิ้น
ปูรณกัสสปหัวหน้าเดียรถียืทั้งหลาย  ได้รับความอับอายน้อยใจเป็นที่สุด  ได้ใช้เชือก
ผูกหม้อข้าวยาคู  พันเข้ากับคอของตนแล้วกระโดดลงแม่น้ำ  ทำลายชีวิตตนเองเสีย.


...................................











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น