วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

อัครสาวกปรินิพพาน (ตอน ๓)


"บุคคลที่สองเล่าพออุปติส  คือผู้ใด ? "

"นั่นท้าวโกสีย์  อมรินทราธิราช จ๊ะ แม่"

"พ่ออุปดิส  ลูกยังสูงกว่าจอมเทพยดาชั้นดาวดึงส์สวรรค์อีกหรือ ? "

"ท้าวโกสีย์  ก็เหมือนกับสามเณรถือบริขารของพระบรมศาสดาเท่านั้นแหละ แม่ !
เมื่อครั้งบรมศาสดาของลูกเสด็จลงจากเทวโลก  ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร
ท้าวโกสีย์องค์นี้  ยังถือบาตรนำเสด็จพระบรมครูของลูกเลย แม่"

"ใครกันเล่า  พ่ออุปติส  ที่เข้ามาหาลูก  หลังจากท้าวโกสีย์เทวราชและใครต่อ
ใครกลับไปแล้ว  ท่านผู้นั้นก็ช่างมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก"

"นั่นท้าวมหาพรหม  จ้ะ  แม่"

"พ่ออุปดิส  ลูกยังเหนือท้าวมหาพรหมอีหรือลูก ? "

"ท้าวมหาพรหมองค์นี้แหละแม่  ในวันที่พระบรมศาสดาของลูกประสูติ  ได้ถือเอา
ข่ายทองเข้ารองรับพระกุมาร  ถวายการบำรุงรักษาพระบรมศาสดาอยู่เนืองนิตย์
แม้ในวันที่พระบรมศาสดาเสด็จลงจากเทวโลก  ก็ยังกั้นเศวตฉัตรถวายปรากฏแก่
เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายที่ประชุมอยู่แทบประตูเมืองสังกัสสนครทั่วทุกคน

นางสารีพราหมณีฟังพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรบรรยายแล้ว  เห็นคุณอันมหัศจรรย์
ในพระมหาเถระว่า  อานุภาพบุตรเรายังปรากฏถึงเพียงนี้แล้ว  และอานุภาพของ
พระชินศรีสัมพุทธเจ้าผู้เป็นครูของบุตรเราคงจะสูงยิ่งกว่านี้เป็นแน่  เกิดปีติเบิกบานใจ

ต่อนั้น  พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็แสดงธรรมพรรณนาพุทธคุณโปรดมารดา
ให้นางสารีพรหามณีมารดา  ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล  เป็นพระอริยบุคคลใน
พระศาสนา  สมมโนรถที่อุตสาหะมาสนองพระคุณมารดา  แล้วพระเถระเจ้าก็เชิญให้
มารดาออกไปพัก  ด้วยดึกมากแล้ว  ครั้นนางสารีพราหมณีออกไปแล้ว  พระเถระเจ้า
จึงถามพระจุนทเถระว่า  "เวลาเท่าใดแล้ว"  เมื่อได้รับคำตอบว่า  "ใกล้รุ่งแล้ว"
จึงสั่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายเข้ามาประชุมพร้อมกัน  ให้พระจุนทเถระพยุงกายท่านขึ้นนั่ง
แล้วกล่าวแก่ภิกษุทั้งหลาย  "ตลอดเวลา ๔๔ พรรษา  ที่ท่านทั้งหลายติดตามมาหาก
กรรมอันใดที่มิชอบใจท่านทั้งหลายจะพึงมี  ท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าเสียเถิด"

ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น  ได้เรียนท่านว่า  "ข้าแต่พระเถระเจ้า  ตลอดเวลาที่บรรดา
ข้าพเจ้าติดตามพระเถระเจ้า  ไม่มีกรรมอันใดของพระเถระเจ้าเลย  ที่มิชอบใจข้าพเจ้า
ทั้งหลาย  หากข้าพเจ้าทั้งหลายพึงมีความประมาทสิ่งใดสิ่งหนึ่งในพระเถระเจ้าแล้ว
ขอพระเถระเจ้าได้กรุณาอดโทษแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย"

พอเวลาอรุณปรากฏ  พระธรรมเสนนาสารีบุตรก็ดับขันธปรินิพพานในเวลาวารปุรณมี
แห่งกัตติกมาส  เพ็ญเดือน ๑๒

ครั้นรุ่งเช้า  เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ได้มาสโมสรสันนิบาตทำสักการะศพพระมหา-
เถระเจ้าในที่ปรินิพพาน  ทำที่ประดิษฐานศพประชุมเพลิงงามวิจิตร  ทำฌาปนกิจถวาย
เพลิงสรีระศพของพระมหาเถระเจ้าตามประเพณีนิยม  พระจุนทเถระได้รวบรวมอัฐิธาตุ
ห่อผ้าขาว  แล้วถือเอาบาตรและจีวรของพระมหาเถระเจ้ากับพระธาตุมาสู่พระเชตวันวิหาร
ชวนพระอานนท์เถระเจ้านำเข้าไปทูลถวายพระบรมศาสดา

พระบรมศาสดาทรงรับเอาพระธาตุแล้ว  ตรัสสรรเสริญคุณพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรใน
ท่ามกลางพุทธบริษัทเป็นอันมาก  แล้วโปรดให้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระธาตุพระธรรม-
เสนาบดีสารีบุตรไว้ในพระเชตวนาราม  ครั้นสำเร็จแล้ว  เสด็จไปพระนครราชคฤห์พร้อม
ด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเป็นบริวาร  ประทับที่พระเวฬุวนาราม

ในกาลนั้น  พระมหาโมคคัลลานเถระสถิตอยู่ที่กาฬศิลาประเทศในมคธชนบท  หมู่เดียรถีย์
ทั้งหลายเห็นร่วมกันว่า  "พระโมคคัลลานะเถระเจ้ามีอานุภาพมาก  สามารถไปสวรรค์ได้
ไปนรกได้  ครั้นไปแล้วก็นำเอาข่าวสารจากเทพยดาในสวรรค์  จากสัตว์สรกในแดน
พวกนั้น ๆ  มาบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นญาติ  เป็นมิตรสหายในโลกนี้  มนุษย์ทั้งหลาย
ที่เป็นบิดามารดาและญาติมิตรของเทพยดา  และสัตว์นรกนั้น  ๆ  ก็เลื่อมใสอุปถัมภ์บำรุง
พระพุทธศาสนา  หากพระสมณโคดมก็ดี  พระสงฆ์ทั้งหลายก็ดี  เว้นพระโมคคัลลาน-
เถระเจ้าก็จเตั้งอยู่ไม่ได้  คือไม่อาจยึดเหนี่ยวใจชนทั้งหลายได้เลย  พวกเราทั้งหลายต้อง
เสื่อมคลายความนับถือของมหาชน  เสื่อมจากผล  ก็เพราะพระเถระเจ้าองค์นี้  ดังนั้น
ตราบใด  ที่พระเถระเจ้าองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่  ตราบนั้นชื่อเสียงลาภผลของพวกเราจะดีขึ้นไม่
ได้เลย  ควรหาอุบายจ้างคนฆ่าพระเถระเจ้าเสียเถิด"


                                                            ...............................


                                                                (ยังมีต่ออีก)














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น