วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บนสวรรค์ชั้นดุสิต



                       นโม ตัสสะ ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสส
           ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์นั้น


                     พระสุตตันตปิฏก  ขุททกนิกาย  ชาดก  เล่ม ๓ ภาค ๑  หน้า ๘๑



เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตบุรี  ได้มีความแตกตื่นเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น  ดังนั้น จึงเกิดมีโกลาหลขึ้นในโลก ๓  อย่าง  คือ   โกลาหลเรื่องกัป ๑  โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า ๑  โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ ๑

เหล่าเทวดาในชั้นกามาวจรที่ชื่อว่า โลกพยุหะ ทราบว่า  เหตุที่จะเกิดเมื่อสิ้นกัปจักมี เมื่อล่วงไปได้แสนปีนั้น   ดังนี้  ต่างมีศีรษะเปียก  สยายผมมีหน้าร้องได้  เอามือทั้งสองเช็ดน้ำตา  นุ่งผ้าแดง  มีรูปร่างแปลก  เที่ยวเดินบอกกล่าวไปในเมืองมนุษย์ว่า  ดูก่อน ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย  โดยกาลล่วงไปแห่งแสนปีแต่นี้  เหตุที่จะเกิดเมื่อสิ้นกัปจักมีขึ้น  แม้โลกนี้ก็จักพินาศไป  แม้มหาสมุทรก็จักพินาศ  แผ่นดินใหญ่นี้และพญาแห่งภูเขาสิเนรุ  จักถูกไฟไหม้ จักพินาศไป  ความพินาศจักมีจนถึงพรหมโลก  ดูก่อน ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย  ขอพวกท่านจงเจริญเมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา  จงเป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลดังนี้  นี้ชื่อว่า โกลาหลเรื่องกัป

เหล่าเทวดาชื่อว่า โลกบาล ทราบว่า  เมื่อล่วงไปพันปี  พระสัพพัญญูพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก  ดังนี้  แล้วพากันเที่ยวป่าวร้อง  นี้ชื่อว่า  โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า

เทวดาเหล่านั้นแหละทราบว่า  โดยล่วงไปแห่งร้อยปีพระเจ้าจักรพรรดิจักเสด็จอุบัติขึ้น  จึงพากันเที่ยวป่าวประกาศว่า  ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย  โดยล่วงไปร้อยปีตั้งแต่นี้  พระเจ้าจักรพรรดิจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก  ดังนี้ชื่อว่า  โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ

โกลาหลทั้งสามประการนี้ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่  บรรดาโกลาหลทั้งสามนี้  เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้น  ได้ฟังเสียงโกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้าแล้ว  จึงร่วมประชุมพร้อมกัน  ทราบว่า  สัตว์ชื่อโน้นจักเป็นพระพุทธเจ้า  จึงเข้าไปหาเขาและอ้อนวอนอยู่  ก็จะอ้อนวอนในเมื่อบุพพนิมิตเกิดขึ้นแล้ว.  ก็ในกาลนี้น เทวดาแม้ทั้งปวง  พร้อมกับท้าวจาตุมมหาราช  ท้าวสักกะ  ท้าวสยาม  ท้าวสันตุสิต  ท้าวนิมมานรตี  และท้าวมหาพรหม  ในแต่ละจักรวาลมาประชุมพร้อมกันในจักรวาลหนึ่ง  แล้วพากันไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ในภพดุสิต  ต่างอ้อนวอนว่า  "ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์  ท่านเมื่อบำเพ็ญบารมีสิบ  สมบัติของพรหมบำเพ็ญ  แต่ท่านปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณบำเพ็ญแล้ว  เพื่อต้องการจะขนสัตว์ออกจากโลก  ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์  บัดนี้ถึงเวลาที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว"

ลำดับนั้น  พระมหาสัตว์ยังไม่ให้ปฏิญาณแก่เทวดาทั้งหลาย  จะตรวจดูมหาวิโลกนะ  คือที่จะต้องเลือกใหญ่  ๕  ประการ คือ  กาล ๑  ทวีป ๑  ประเทศ ๑  ตระกูล ๑  และการกำหนดอายุของมารดา ๑.  ใน ๕ ประการนั้น  พระโพธิสัตว์จะตรวจดูกาลก่อนว่า  เป็นกาลสมควรหรือไม่สมควร.  ในข้อนั้น กาลแห่งอายุที่เจริญขึ้นถึงแสนปี จัดว่าเป็นกาลไม่สมควร.  เพราะเหตุไร.  เพราะในกาลนั้น  ชาติชราและมรณะไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย  และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะพ้นจากไตรลักษณ์ไม่มี  เมื่อพระองค์ตรัสว่า  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  พวกเขาก็จะคิดว่า  พระองค์ตรัสข้อนั้นทำไม  แล้วไม่เห็นความสำคัญ ว่าควรที่จะฟัง ควรที่จะเชื่อ ต่อนั้นก็จะไม่มีการตรัสรู้  เมื่อไม่มีการตรัสรู้  ศาสนาก็จะไม่เป็นสิ่งนำออกจากทุกข์

เพราะฉะนั้น จึงเป็นกาลที่ยังไม่ควร.  แม้กาลแห่งอายุหย่อนกว่าร้อยปี  ก็จัดเป็นกาลที่ยังไม่ควร.  เพราะเหตุไร.  เพราะในกาลนั้น  สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนา  และโอวาทที่ให้แก่ผู้มีกิเลสหนา จะไม่ตั้งอยู่ในที่เป็นโอวาท  โอวาทนั้นก็จะพลันปราศไปเร็วพลัน เหมือนรอยไม้เท้าในน้ำฉะนั้น  เพราะฉะนั้น แม้กาลนั้น  ก็จัดได้ว่าเป็นกาลไม่ควร.  กาลแห่งอายุต่ำลงมาตั้งแต่แสนปี  สูงขึ้นไปตั้งแต่ร้อยปี  จัดเป็นกาลอันควร.  และในกาลนั้นก็เป็นกาลแห่งอายุร้อยปี.  ที่นั้นพระมหาสัตว์ก็มองเห็นว่า เป็นกาลที่ควรจะเกิดได้แล้ว.  ต่อจากนั้น เมื่อจะตรวจดูทวีปก็ตรวจดูทวีปใหญ่ ๔ ทวีป  เห็นทวีปหนึ่งว่า  ในทวีปทั้งสามพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เสด็จอุบัติขึ้น  เสด็จอุบัติขึ้นในชมพูทวีปเท่านั้น.


                                   ......................................................

ขอขอบพระคุณเจ้าของรูปภาพพุทธประวัติด้วยค่ะ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น