พระมหาโมคคัลลานะได้ปราศรัยกับพระปิณโฑลภารทวาชะว่า "ได้ยินไหมท่าน? ผู้คนกำลังกล่าวดูหมิ่นพระศาสนา เป็นการเสื่อมเสียถึงเกียรติพระบรมศาสดา ตลอดถึงพระอรหันต์ทั้งหลายด้วย ฉะนั้นนิมนต์ท่านเหาะไปเอาบาตรไม้จันทน์แดงลูกนั้นเสียเถิด จะได้เปลื้องคำนินทาว่าร้ายนั้นเสีย" เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะได้โอกาสจากพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเช่นนั้นแล้ว ก็เข้าสู่จตุตถฌาน อันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญา ทำอิทธิปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ กับทั้งแผ่นหินใหญ่ ซึ่งยืนเหยียบอยู่นั้นด้วย เลื่อนลอยไปดุจปุยนุ่นปลิวไปตามสายลม พระเถรเจ้าเหาะเวียนรอบพระนครราชคฤห์ ปรากฏแก่มหาชนทั่วไป ชนทั้งหลายพากันเอิกเกริกร้องชมปาฏิหาริย์เสียงลั่นสนั่นไป
ครั้นพระมหาเถรเจ้าเหาะเวียนได้ ๗ รอบแล้ว ก็สลัดแผ่นหินที่เหยียบอยู่นั้นให้ปลิวตกไปยังที่เดิม แล้วเหาะมาลอยอยู่เบื้องบนแห่งเรือนท่านราชคฤห์เศรษฐ์นั้น
เมื่อท่านเศรษฐีได้เห็นเช่นนั้น ก็เกิดปีติเลื่อมใสสุดที่จะประมาณ ได้หมอบกราบจนอุระจรดถึงพื้น แล้วร้องอาราธนาพระเถรเจ้า ให้ลงมาโปรด เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะลงมานั่งบนอาสนะ ที่ท่านเศรษฐีได้จัดตกแต่งไว้เป็นอันดีแล้ว ท่านเศรษฐีก็ให้เอาบาตรไม้จันทน์แดงนั้น ลงมาบรรจุอาหารอันประณีตลงในบาตรนั้นจนเต็ม แล้วน้อมถวายพระเถรเจ้าด้วยคารวะอันสูง พระเถรเจ้ารับบาตรแล้ว ก็บ่ายหน้ากลับยังวิหาร
ฝ่ายชนทั้งหลายที่ไปธุรกิจในที่อื่นเสีย กลับมาไม่ทันได้เห็นปาฏิหาริย์นั้น ก็รีบพากันติดตามพระเถรเจ้าไปเป็นอันมาก ร้องขอให้ท่านเมตตาแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ให้ชมบ้าง พระเถรเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ชนทั้งหลายนั้นชมตามปรารถนา แล้วไปสู่วิหาร
พระบรมศาสดาได้ทรงสดับเสียงมหาชนอึ้งอืง ติดตามพระปิณโฑลภารทวาชะมาเช่นนั้น จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า "เสียงอะไร" พระอานนท์ก็กราบทูลให้ทรงทราบ จึงรับสั่งให้พาพระปิณโฑลภารทวาชะมาถาม ครั้นทรงทราบความแล้ว ก็ทรงตำหนิว่า เป็นการไม่สมควร แล้วโปรดให้ทำลายบาตรไม้จันทน์แดงนั้น ย่อยให้เป็นจุณ แจกแก่พระสงฆ์ทั้งหลายบดให้เป็นโอสถใส่จักษุ ทั้งทรงบัญญัติห้ามสาวกทำปาฏิหาริย์สืบไป
ฝ่ายเดียรถีย์ทั้งหลายได้ทราบเหตุนั้นแล้ว ก็พากันดีใจ คิดเห็นไปว่าตนได้โอกาสจะยกตนแล้ว ก็ให้เที่ยวประกาศว่า "เราจะทำปาฏิหาริย์แข่งฤทธิ์กับพระสมณโคดม"
ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูราชทรงสดับข่าวนั้น ก็เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า "ได้ทราบว่า พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำปาฏิหาริย์หรือประการใด" เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับว่า "เป็นจริงอย่างที่ทรงทราบ" ก็ทูลต่อไปอีกว่า "บัดนี้ พวกเดียรถีย์ทั้งหลายกำลังเตรียมการทำปาฏิหาริย์ พระองค์จะทำประการใด ? " "ดูกรมหาบพิตร" ทรงรับสั่ง "ถ้าเดียรถีย์ทำปาฏิหาริย์ ตถาคตก็จะทำบ้าง" "ข้าแต่พระสุคต ก็พระองค์ทรงบัญญัติห้ามทำปาฏิหาริย์แล้วมิใช่หรือ ? " "จริงอย่างมหาบพิตรรับสั่ง แต่ตถาคตจะถามพระองค์บ้าง พระราชอุทยานของมหาบพิตรทั้งหลายนั้น ถ้าคนทั้งหลายมาบริโภคผลไม้ต่าง ๆ มีผลมะม่วงเป็นต้น ในพระราชอุทยานนั้น พระองค์จะทำอันใดแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น" "ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์จะให้ลงทัณฑ์แก่คนเหล่านั้น" "ดูกรมหาบพิตรผิว่าพระองค์เสวยผลไม้ในพระราชอุทยานนั้นเล่า ควรจะได้รับอาชญาหรือไม่ประการใด ? " "ข้าแต่พระบรมครู ข้าพระองค์เป็นเจ้าของ
บริโภคได้ไม่มีโทษ" "ดูกรมหาบพิตร ตถาคตก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน เหตุนั้น ตถาคตจึงจะทำยมกปาฏิหาริย์ ตามเยี่ยงอย่างพุทธประเพณีสืบมา"
พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถามว่า "เมื่อใด พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์ "
............................................
(ยังมีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น