วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงปรารภสักการบูชา


ครั้งนั้น  ต้นรังทั้งคู่  เผล็ดดอกบานเต็มต้น  ร่วงหล่นมายังพระพุทธสรีระ  บูชาพระตถาคตเจ้า  เป็นมหัศจรรย์  แม้ดอกมณฑาในเมืองสวรรค์  ตลอดทิพยสุคนชาติ  ก็ตกลงมาจากอากาศ  บูชาพระตถาคตเจ้า  ใช่แต่เท่านั้น  ยังเทพเจ้าทั้งหลายก็ประโคมดนตรีทิพย์บันลือลั่นเป็นมหานฤนาท  บูชาพระตถาคตเจ้าในอวสานกาล

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแก่พระอานนท์เถระว่า  "อานนท์การบูชาพระตถาคตด้วยอามิสบูชา  แม้มากเห็นปานนี้  ก็ไม่ชื่อว่าบูชาพระตถาคตอันแท้จริง  อานนท์  ผู้ใดแล  มาปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม  ปฏิบัติชอบยิ่งในธรรม  ผู้นั้นชื่อว่า  บูชาพระตถาคตด้วยการบูชาอย่างยิ่ง"   พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระกรุณาเตือนพุทธบริษัท  ให้หนักแน่ในธรรมนุธรรมปฏิบัติ  เพื่อประสงค์ให้พระศาสนาสถิตสถาพรดำรงอยู่ในโลก  ตลอดกาลนิรันดร  ด้วยประการฉะนี้

ครั้งนั้น  พระอุปวาณเถระ  ยืนถวายงานพัดอยู่เฉพาะพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า  พระองค์ตรัสสั่งให้พระอุปวาณะถอยออกไปเสีย  พระอานนท์เกิดปริวิตกว่า  "ความจริง  พระอุปาวาณะองค์นี้ก็เป็นพุทธอุปัฏฐากใกล้เคียงพระบรมศาสดามานานแล้ว  ไฉนหนอในกาลสุดท้ายนี้  พระบรมศาสดาจึงไม่ทรงพอพระทัยให้ถวายปฏิบัติดังเช่นเคย  น่าจะมีเหตุอะไรจึงได้เข้าเฝ้าทูลถาม"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "อานนท์  ขณะนี้ เทพยดาทั้งหมด  ทุกห้องสวรรค์ชั้นฟ้า  ได้มาประชุมกันบูชาพระตถาคต  โดยหวังจะเห็นพระตถาคตในครั้งสุดท้ายนี้  แต่พระอุปวาณะได้มายืนกั้นอยู่  ณ  เบื้องหน้าเสีย  เทพยดาทั้งหลายพากันยกโทษด้วยไม่สมใจที่ตั้งใจมา  ดังนั้  ตถาคตจึงสั่งให้พระอุปวาณะถอยออกไปเสียจากที่เบื้องหน้านี้


.....................................

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อนุฏฐานไสยา


ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ได้เสด็จพระพุทธดำเนินข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี  ไปเมืองกุสินารานคร  แล้วเสด็จเข้าไปยังสาลวันอุทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้นครกุสินารา  โปรดให้พระอานนท์ปูลาดเตียงที่บรรทม ณ ระหว่างไม้รังทั้งคู่  แล้วเสด็จขึ้นบรรทมสีหไสยา  มีสติสัมปชัญญะ  แต่มิได้มีอุฏฐานสัญญามนสิการ  คือไม่คิดว่าลุกขึ้นอีกแล้ว  เพราะเหตุเป็นไสยาอวสาน  คือ นอนครั้งสุดท้าย  นิยมเรียกว่า  อนุฏฐานไสยา  (นอนไม่ลุก)


....................................

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผลแห่งบิณฑบาตทาน


เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพักผ่อน  พอบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยแล้ว  จึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า  "อานนท์ ต่อไปภายหน้าหากจะพึงมีใคร  ทำความร้อนใจแก่นายจุนทกัมมารบุตรว่า  "เพราะบิณฑบาตที่ท่านถวายพระผู้มีพระภาคครั้งสุดท้ายแล้ว  เสด็จปรินิพพาน"  ท่านทั้งหลายพึงช่วยระงับเสียให้สงบพึงทำความสบายใจให้แก่นายจุนท์ว่า  "พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรรเสริญว่า  อันบิณฑบาตทานที่ถวายพระตถาคตใน ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่พระตถาคตเจ้าเสวยแล้ว  ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑  ครั้งที่พระตถาคตเจ้าเสวย  แล้วเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ๑  เป็นทานมีผลมาก  มีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตทานทั้งหลาย  เป็นกุศลกรรม  ทำให้เจริญอายุ  วรรณ  สุข  ยศ  และสวรรค์  ดังนี้เถิด


.................................  

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผิวกายของพระพุทธเจ้าผ่องใสยิ่งใน ๒ เวลา

เมื่อปุกกุสะมัลลบุตรหลีกไปแล้ว  พระอานนท์แถระได้นำผ้าสิงคิวรรณทั้ง ๒ ผืน เข้าถวายพระผู้มีพระภาค ทรงนุ่งผืนหนึ่ง  ห่มผืนหนึ่ง  ผ้าสิงคิวรรณสีดุจถ่านไฟที่ปราศจากเปลวงาม  เมื่อพระเถระเจ้านำเข้าถวายปกคลุมพระกายเป็นพุทธบริโภคทั้งคู่  ในทันใดนั้น  ผิดกายของพระผู้มีพระภาค  ก็งามบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก

พระอานนท์ได้กราบทูลสรรเสริญ  ความอัศจรรย์ของพระฉวีวรรณงามผ่องใส  สมกับคู่ผ้าสิงคิวรรณที่ปกคลุมพระกายยิ่งนัก

"จริงดังอานนท์สรรเสริญ"  พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่ง  "กายของตถาคตย่อมงามบริสุทธิ์ผิวผุดผ่องยิ่งใน ๒ เวลา  คือ  เวลาราตรีที่จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑  และเวลาราตรีที่จะปรินิพพาน ๑   อานนท์  เวลานี้กายของตถาคตงามบริสุทธิ์ยิ่งนัก"

"อานนท์  ในยามที่สุดแห่งราตรีวันนี้แหละ  ตถาคตจะปรินิพพาน  ณ  ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ณ สาลวัน
แห่งมัลลกษัตริย์  ใกล้เมืองกุสินารา  อานนท์เรามาไปพร้อมกันยังแม่น้ำกกุธานที"  พระอานนท์รับพระบัญชามาแจ้งให้พระสงฆ์ทราบทั่วกัน

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จไปโดยมรรคานั้น  จนถึงแม่น้ำกกุธานทีเสด็จลงเสวยและสนานสำราญพระกายตามอัธยาศัยแล้ว  เสด็จขึ้นมาประทับยังร่มไม้  รับสั่งให้พระจุนท์เถระลาดสังฆาฏิถวาย ด้วยขณะนั้น  พระอานนท์กำลังบิดผ้าชุบสรงอยู่  แล้วสมเด็จพระบรมครูก็เสด็จบรรทมระงับความลำบากกายที่ตรากตรำมาในระยะทาง


...............................

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงขอน้ำเสวย

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเยียวยาพระโรคาด้วยโอสถ คือ สมาบัติภาวนา  เสด็จจากเมืองปาวา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ตามมรรคาโดยลำดับ  ขณะที่เสด็จพระพุทธดำเนินตามทางนั้น  ให้บังเกิดระหายน้ำเป็นกำลัง  จึงเสด็จแวะเข้าพักยังร่มไม้ริมทาง  พลางตรัสเรียกพระอานนท์ว่า  "อานนท์ ตถาคตระหายน้ำมาก  เธอจงไปตักน้ำมาให้ตถาคตดื่มระงับความระหายให้สงบ"

เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งเดียว  ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกขอน้ำเสวยในขณะเดินทางยังไม่ถึงที่พัก เนื่องด้วยพระองค์ทรงประชวรมาก  ใกล้อวสานพระชนม์  ต้องเสวยทุกขเวทนาซึ่งเกิดแต่สังขาร  สมดังกระแสพระโอวาทที่ตรัสว่า  "สังขารเป็นมารทำลายความสงบสุข  ไม่เลือกว่าสังขารของผู้ใดทั้งสิ้น"

พระอานนท์  ได้กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม  เพิ่งข้ามแม่น้ำนี้ไป แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำเล็ก  น้ำในแม่น้ำก็น้อย  เมื่อล้อเกวียนมากด้วย  บดไปตลอดทุกเล่ม  น้ำขุ่นนัก  ไม่ควรจะเป็นน้ำเสวย  ถัดนี้ไปไม่ไกลนัก  แม่น้ำกกุธานที  มีน้ำจืด ใส เย็น ทั้งมีท่ารื่นรมย์  เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคไปยังแม่น้ำกกุธานทีโน้นเถิด  ผิวะเสวยหรือจะสรงก็จะเย็นเป็นสุขสำราญ"

"ไปเถอะ  อานนท์"  ทรงรับสั่ง  "ไปนำน้ำในแม่น้ำนี้แหละมาให้ตถาคตดื่มบรรเทาความระหาย"

พระอานนท์ได้กราบทูลทัดทานถึง ๒ ครั้ง  เมื่อได้สดับกระแสรับสั่งครั้งที่ ๓  พระเถระเจ้าก็อนุวัตรตาม
พระบัญชาทันที  ด้วยได้สติรู้ทันในพระบารมีของพระสัมพุทธเจ้าว่า  "อันธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  จะดำรงคงพระวาจามั่นในสิ่งซึ่งหาสาเหตุมิได้  เป็นไม่มี"  จึงรีบนำบาตรเดินตรงไปยังแม่น้ำนั้น ครั้นเข้าไปใกล้แม่น้ำนั้น  ก็พลันได้ปิติโสมนัส  ด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า  หากมาบันดาลน้ำในแม่น้ำซึ่งขุ่นข้นได้กลับกลายเป็นน้ำใสสะอาดปราศจากมลทิน

เมื่อพระอานนท์ได้เห็นเช่นนั้น  ก็เกิดอัศจรรย์ใจ  พิศวงในอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ดำริว่า  "อานุภาพอันใหญ่หลวงของพระพุทธเจ้าเห็นปานนี้เป็นอัศจรรย์  ไม่เคยมีมาในกาลก่อน"  พระเถระเจ้าได้ลงไปตักน้ำด้วยโสมนัส  แล้วเดินมาด้วยความบันเทิง  น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้ทรงเสวยตามพระพุทธประสงค์แล้ว  ได้กราบทูลถึงเหตุอัศจรรย์ที่ได้ประสบมานั้น

ครั้งนั้น  ปุกกุสะ บุตรแห่งมัลลกษัตริย์ ผู้เป็นสาวกของท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร  เดินทางจากเมืองกุสินารา  เพื่อจะไปยังปาวานครโดยทางนั้น  ครั้นมาถึงที่นั้น  เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ร่มไม้ใหญ่ริมทาง  จึงเข้าไปเฝ้าถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควร  พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงสันติวิหารธรรมโปรด  ปุกกุสะได้สดับแล้วเกิดความเลื่อมใส  ได้น้อมคู่ผ้าสิงคิวรรณอันมีเนื้อละเอียด มีสีดังทองสิงคี งามประณีตมีค่ามาก ถวายพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยกราบทูล  "ขอพระผู้มีพระภาคได้ทรงอนุเคราะห์ รับคู่ผ้าสิงคิวรรณนี้ เพื่อประโยชน์สุขแก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด"

"ปุกกุสะ  ถ้าเช่นนั้น  เธอจงคลุมกายตถาคตเพียงผืนเดียว  อีกผืนหนึ่งจงให้อานนท์เถิด"

ปุกกุสะ ได้น้อมผ้าเข้าถวายเป็นพุทธบริโภคผืนหนึ่ง  ถวายพระอานนท์เถระผืนหนึ่ง  ตามพระพุทธบัญชา

พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงธรรมีกถาให้ปุกกุสะมัลลบุตร  เบิกบานรื่นเริงในกุศลจริยาตามสมควร  แล้วปุกกุสะได้อภิวาททูลลาไป

.................................






วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บิณฑบาตครั้งสุดท้าย


ในกาลนั้น  นายจุนท์ได้สดับข่าวว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสถิตอยู่ในสวนของตน  ก็มีความยินดี ได้นำสักการะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ  ถวายนมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควร  พระบรมศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาโปรดให้นายจุนท์ชื่นชมโสมนัสและบรรลุโสดาปัตติผล  นายจุนท์ได้กราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  ให้เข้าไปรับอาหารบิณฑบาตยังนิเวศน์ของตน  พระบรมศาสดาทรงรับด้วยดุษณีภาพ

ครั้นนายจุนท์ทราบในพุทธอัธยาศัยแล้ว  ก็กลับคืนสู่นิเวศน์  ให้ตกแต่งขาทนียะและโภชนียาหาร  กับทั้งสุกรมัทวะ (เนื้อสุกรอ่อน)  ประกอบด้วยรสอันเอมโอชาแต่ในเวลาราตรี  ครั้นรุ่งเช้านายจุนท์ได้ออกไปทูลอัญเชิญเสด็จพระบรมศาสดา

พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์  ได้เสด็จไปยังนิเวศน์ของนายจุนท์  ประทับนั่งบนพุทธาอาสน์แล้ว  ตรัสแก่นายจุนท์ว่า  "สุกรมัทวะซึ่งท่านตกแต่งไว้นั้น  จงอังคาสเฉพาะแต่ตถาคตผู้เดียว  ที่เหลือนั้นให้ขุดหลุมฝังเสีย  และจงอังคาสภิกษุทั้งหลายด้วยอาหารอย่างอื่น ๆ เถิด"  นายจุนท์ก็กระทำตามพระพุทธบัญชา  ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้วก็ตรัสอนุโมทนา  ให้นายจุนท์ปสาทะเบิกบานในไทยทานที่ถวายแล้ว  ก็เสด็จกลับไปสู่อัมพวัน

เมื่อพระพุทธองค์ ทรงเสวยภัตตาหารของนายจุนท์ในวันนั้น  ก็ทรงประชวรพระโรค  "โลหิตปักขันทิกาพาธ"  มีกำลังกล้า  ลงพระโลหิตเกิดทุกขเวทนามาก  แสดงปุพพกรรมที่ทรงทำไว้ในชาติก่อนแก่พระอานนท์  แล้วตรัสว่า  "อานนท์  มาเราจะไปเมืองกุสินารานคร"  พระอานนท์รับพระบัญชาแจ้งให้พระสงฆ์ทั้งหลายเตรียมตามเสด็จพร้อมแล้ว


................................

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงปลงอายุสังขาร (ต่อ)


"อานนท์  เธอเชื่อว่า  อิทธิบาทภาวนามีอานุภาพถึงเช่นนั้นหรือ ? "

"เชื่อ  พระเจ้าข้า"

"แล้วเพราะอะไรเล่า  อานนท์  เมื่อตถาคตทำนิมิตโอภาสอันชัดซึ่งพอจะรู้ได้  อานนท์ก็กลับไม่รู้ไม่อาราธนา  ไม่วิงวอนตถาคต  ในกาลอันควรจะอาราธนา  เป็นความผิดของอานนท์ผู้เดียว"

อานนท์  ถ้าในคราวนั้น  หากเธอจะรู้ทัน  และอาราธนาตถาคตแล้ว  ตถาคตก็จะพึงห้ามสัก ๒ ครั้ง  แล้วในครั้งที่ ๓  ตถาคตก็จะรับคำวิงวอนอาราธนานั้น  ก็เมื่ออานนท์ไม่วิงวอนอาราธนาในเวลานั้น  จึงเป็นความผิดพลาดของอานนท์ผู้เดียว"

"อานนท์  ความจริง  นิมิตโอภาสอันนี้  มิใช่ตถาคตจะแสดงแก่เธอในครั้งเดียว  ในที่นี้ก็หาไม่  ตถาคตได้แสดงแก่อานนท์ถึง ๑๖ ครั้ง  ๑๖ ตำบล  อานนท์คงจะยังระลึกได้อยู่  คือ  ที่เมืองราชคฤห์ ๑๐ ตำบล  คือ ๑. ที่ภูเขาคิชฌกูฎ  ๒. ที่โคตมนิโครธ  ๓. ที่เหวสำหรับทิ้งโจร  ๔. ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต  ๕. ที่กาฬศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิบรรพต  ๖. ที่สัปปิโสณฑิกา  ณ  สีตวัน  ๗. ที่ตโปทาราม  ๘. ที่เวฬุวนาราม  ๙. ที่ชีวกัมพวนาราม  ๑๐. ที่มัททกุจฉิวัน กับที่เมืองไพศาลี ๖ ตำบล  คือ ๑. ที่อุทเทนเจดีย์  ๒. ที่โคตมเจดีย์  ๓. ที่สัตตัมพเจดีย์  ๔. ที่พหุปุตตเจดีย์  ๕. ที่สารันทเจดีย์  ๖. ที่ปาวาลเจดีย์  นี้เป็นครั้งสุดท้าย  รวมเป็น ๑๖ ตำบลด้วยกัน

อานนท์  ในวาระทั้ง ๑๖ ครั้งนั้น  เป็นการที่ควรจะอาราธนาวิงวอนตถาคต  อานนท์ก็ไม่รู้  ไม่อาราธนา ไม่วิงวอน  หากใน ๑๖ ครั้งนั้นอานนท์จะพึงอาราธนาวิงวอนตถาคต  ณ  สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง  ตถาคตก็จะพึงห้ามเสีย  ๒  ครั้ง  แล้วในครั้งที่ ๓  ตถาคตก็จะรับอาราธนาของอานนท์  เพราะอานนท์ไม่รู้ ไม่อาราธนา ไม่วิงวอน  ปล่อยให้ล่วงเลยเวลาอันควรมา  นั่นเป็นความผิดพลาดของอานนท์ผู้เดียว"

"ตถาคตได้บอกเธอมาแต่เดิมแล้วมิใช่หรือ  อานนท์ว่า  "บรรดาสัตว์สังขารที่รักใคร่เจริญใจทั้งปวง  ล้วนไม่คงทนถาวรอยู่ได้ตามใจประสงค์  ย่อมพลัดพรากจากไปเป็นอื่นสิ้น  จะหาสิ่งซึ่งเที่ยง ยั่งยืนถาวร ในสังขารนี้ได้ที่ไหน  ทุกสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ย่อมมีความสลายตัวไปเป็นธรรมดา  การที่จะรำร้องว่า ขอสิ่งนั้นอย่าได้ฉิบหายเลย  ย่อมไม่เป็นฐานะที่พึงได้  เป็นได้  ดังประสงค์โดยแท้"

"ดูกร  อานนท์  สิ่งใดที่ตถาคตได้สละแล้ว  คายแล้ว ปล่อยเสียแล้ว ละเสียแล้ว วางเสียแล้ว  การที่ตถาคตจักคืนกลับมารับสิ่งนั้นเข้าไว้อีกเพราะเหตุแห่งชีวิต  ไม่เป็นฐานะที่จะมีขึ้นได้เลย"

อานนท์  ทั้งคนหนุ่ม ทั้งคนแก่ ทั้งคนโง่  คนฉลาด  คนจนคนมี ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกันสิ้น เป็นภาชนะดิน ถึงจะเล็ก ใหญ่ ดิบ สุก ประการใด ก็ย่อมมีความแตกทำลายเป็นที่สุดเหมือนกันหมดฉะนั้น

สังขารทั้งหลายมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา  มีความเกิดในเบื้องต้น  แปรปรวนในท่ามกลาง และดับสลายลงในที่สุด  พระนิพพานเป็นคุณชาติดับเสียซึ่งชาติ ชรา มรณะ เป็นเอกันตสุข ประเสริฐ หาสิ่งเสมอมิได้

อานนท์  วัยของตถาคตล่วงลุถึงความชราแล้ว  ชีวิตของตถาคตเหลืออยู่น้อยแล้ว  ไม่ช้าก็จะละท่านทั้งปวงไป  ท่านทั้งหลายจงมีสติ  อย่าได้ประมาท  พยายามกระทำที่พึ่งแก่ตน  พึงรักษาจตุปาริสุทธิศีล  มากอยู่ด้วยการเจริญสมณธรรมเป็นอันดี  ผู้ใดมั่นอยู่ในอัปปมาทธรรม  ประพฤติธรรมวินัยนี้ให้บริสุทธิ์ด้วยดี  ผู้นั้นจักละเสียได้ซึ่งชาติสงสาร    ถึงซึ่งฝั่งแห่งนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์"

ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนา  แก่พระอานนเถรเจ้าด้วยประการฉะนี้แล้ว  จึงรับสั่งแก่พระอานนท์ว่า  "อานนท์ เราพร้อมกันจะไปบ้านภัณฑุคาม ณ บัดนี้"  เมื่อพระภิกษุสงฆ์พร้อมกันแล้ว  ก็เสด็จพระพุทธดำเนินไปยังบ้านกัณฑุคาม  ประทับสำราญพระอิริยาบถโดยควรแก่พระอัธยาศัย  แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท ณ บ้านภัณฑุคามนั้นให้ตั้งอยู่ในอริยธรรม คือ  ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ อันเป็นธรรมนำให้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งมวล

ต่อนั้น  พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์  ได้เสด็จไปสู่บ้านหัตถีคามและอัมพคาม และชัมพุคาม และเมืองโภคนคร  โดยลำดับ  ประทับอยู่ที่แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทชาวเมืองนั้น

ต่อนั้น  จึงได้เสด็จไปยังเมืองปาวานคร  เสด็จเข้ายับยั้งอาศัยที่อัมพวันสวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร  คือ บุตรนายช่างทอง  ซึ่งอยู่ใกล้เมืองนั้น


..............................................








วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงปลงอายุสังขาร


ครั้นพระอานนท์รับพระพุทธบัญชา  ถวายบังคมลาออกไปนั่งอยู่ที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นวิเวก  ไม่ไกลจากพระบรมศาสดาแล้ว  ลำดับนั้น  พญาวัสวดีมาร ผู้ใจบาปก็ถือโอกาสเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้ทูลอารธนาปรารภถึงความหลัง  เมื่อครั้งแรกตรัสรู้  เสด็จอยู่ ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธว่า  เมื่อครั้งนั้น  ได้ทูลอารธนาให้เสด็จปรินิพพานแล้ว  แต่พระองค์ทรงห้ามว่า  ตราบใดบริษัท ๔ คือ  ภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา  สาวกของตถาคตยังไม่เจริญมั่นคงก็ดี  ศาสนาของตถาคตยังไม่แผ่ไพศาลไปทั่วโลกธาตุก็ดี  ตราบนั้น  ตถาคตจะยังไม่ปรินิพพานก่อน  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  บัดนี้  บริษัท ๔  ของพระผู้มีพระภาคได้เจริญแพร่หลายแล้ว  พระศาสนาได้ดำรงมั่นเป็นหลักฐาน  สมดังมโนปณิธานแล้ว  ขออาราธนาพระองค์เสด็จปรินิพพานเถิด

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า  "ดูกรมาร  ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด  อย่าทุกข์ใจไปเลย  ไม่ช้าแล้ว  ตถาคตก็จักปรินิพพาน  กำหนดกาลแต่นี้ล่วงไปอีก ๓ เดือนเท่านั้น"  ครั้นพญามารได้สดับพระพุทธบัญชาเช่นนั้น  ก็มีจิตโสมนัสยินดี  แล้วก็อันตรธานจากสถานที่นั้นไป

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า  กำหนดพระทัย  ทรงปลงพระชนมายุสังขาร  ณ  ปาวาลเจดีย์  ในวันมาฆปุรณมี เพ็ญเดือน  ๓  ครั้งนั้น  ก็บังเกิดมหัสจรรย์บันดาล  พื้นแผ่นพสุธาธารโลกธาตุ  ก็กัมปนาทหวั่นไหวประหนึ่งว่าแสดงความทุกข์ใจ  อาลัยในพระผู้มีพระภาคเจ้า  จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในกาลไม่นาน ต่อไปนี้อีก  ๓  เดือนเท่านั้น

ขณะนั้น  พระอานนท์เถระ  ได้เห็นความอัศจรรย์ใจ  เพราะแผ่นดินไหวใหญ่นั้น  ก็มีความพิศวง  จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทูลถามถึงเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวใหญ่  พระบรมศาสดาตรัสบอกเหตุแห่งแผ่นดินไหวใหญ่แก่พระอานนท์เถระว่า  "อานนท์  แผ่นดินไหวด้วยเหตุ  ๘  ประการ  คือ  ๑.  ลมกำเริ่ม   ๒. ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล   ๓. พระโพธิสัตว์ จุติจากดุสิตลงสู่พระครรภ์   ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ   ๕. พระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ   ๖. พระตถาคตเจ้าแสดงธรรมจักกัปวัตตนสูตร   ๗. พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร   ๘. พระตถาคตเจ้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ    อานนท์  เหตุ ๘ ประการนี้แลแต่ละอย่าง  ย่อมทำให้แผ่นดินไหวได้"

พระอานนท์เถระจึงกราบทูลว่า  "ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า  จงได้ทรงพระกรุณาดำรงพระชนมายุกัลปหนึ่งเถิด  เพื่อประโยชน์สุขเป็นอันมากแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย"

"อย่าเลย อานนท์  เธออย่าวิงวอนตถาคตเลย  บัดนี้  มิใช่เวลาอันควรที่เธอจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว"

แม้พระบรมศาสดาจะตรัสห้ามเช่นนั้นแล้ว  พระอานนท์ก็ยังได้ทูลวิงวอนอยู่อีกถึง  ๒  ครั้ง  ๓  ครั้ง พระองค์จึงตรัสว่า  "อานนท์  เธอยังเชื่อปัญญาความตรัสรู้ของตถาคตอยู่หรือ ? "

"เชื่อพระเจ้าข้า  ข้าพระองค์เชื่อมั่นในความตรัสรู้ของพระองค์"

"ก็เมื่อเธอเชื่อมั่นเช่นนั้น  ไฉนเธอจึงมาแค่นได้  วิงวอนตถาคตซึ่งห้ามเธออยู่ถึง ๓ ครั้ง ฉะนี้เล่า ? "

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ด้วยข้าพระองค์ได้สดับรับรู้มาจากพระองค์ว่า  "ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทภาวนา ๔ ประการนี้  ทำให้มากให้ชำนาญดีแล้ว  ผิวะ ผู้นั้นประสงค์จะดำรงชนมายุอยู่นาน  เขาก็จะพึงตั้งอยู่ได้ถึงกัลป หรือเกินกว่า  ก็อิทธิบาทภาวนานั้น  พระองค์ทรงเจริญได้ดียิ่งแล้ว  หากพระองค์ทรงพระประสงค์จะดำรงพระชนมายุอยู่  ก็จะดำรงอยู่ได้ถึงกัลปหนึ่ง  หรือยิ่งกว่า  เพราะเหตุนั้น  ข้าพระองค์จึงได้กราบทูลวิงวอนอาราธนาถึง ๓ ครั้งดังนี้"


.........................................

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงทำนิมิตโอภาส


ครั้นเสด็จถึงกูฎาคารศาลาแล้ว  รับสั่งแก่พระอานนท์เถระว่า  "เธอจงถือเอานิสีทนะสันถัตตามไป ตถาคตจะไปพักทิวาวิหาร  ณ  ปาวาลเจดีย์  พระอานนท์ก็เอานิสีทนะสันถัตตามพระบรมศาสดาไปปูลาดถวายยังที่พระประสงค์  ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว  ก็ถวายพระอภิวาทนั่งอยู่  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงรับสั่งว่า  "อานนท์ เมืองไพศาลีนี้  เป็นรมณียสถาน  ทั้งปาวาลเจดีย์และโคตมเจดีย์  เป็นที่รื่นรมย์สำราญทุกตำบล  ถ้าบุคคลผู้ใดได้เจริญซึ่งอิทธิบาทธรรม ๔ ประการ  และมีกมลสันดานปรารถนาจะให้อายุดำรงคงอยู่ประมาณกัลป์หนึ่ง  หรือมากกว่านั้นไป  บุคคลนั้นก็สามารถจะมีอายุยืนต่อไปได้ดังปรารถนา"

เมื่อพระบรมศาสดาตรัสนิมิตโอภาสดังนี้  พระอานนท์สดับแล้ว  ก็มิได้ทราบพระพุทธอัธยาศัย  จึงมิได้กราบทูลอาราธนาให้พระบรมศาสดาดำรงพระชนม์อยู่จนสิ้นกัลป์  เพื่อประโยชน์สุขแก่เพทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เพราะมารเข้าดลใจพระอานนท์  ทำให้รู้ไม่ทัน  จึงมิได้ทูลอาราธนา  แม้พระบรมศาสดาจะทรงทำโอภาสนิมิตดังนี้ถึง  ๓  ครั้ง  พระอานนท์ได้ฟังแล้วก็นิ่งอยู่

ลำดับนั้น  พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า  "อานนท์  เธอจงไปนั่งยังวิเวกสถาน  เจริญฌานสมาบัติโดยควรเถิด"


............................

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงปรารภชราธรรม


วันหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่ง  ณ  พุทธอาสน์ซึ่งปูลาด ณ ร่มเงาแห่งพระวิหาร  พระอานนท์เถระเจ้าเข้าเฝ้าถวายนมัสการแล้วกราบทูลว่า  "ข้าพระองค์ได้เห็นความผาสุกแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว และความอดกลั้น  ทนทานของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ข้าพระองค์ได้เห็นแล้ว  เมื่อได้เห็นพระองค์ทรงพระประชวร  ข้าพระองค์รู้สึกว่า  กายของข้าพระองค์จะหนัก  จะงอมระงมไปด้วย  แม้ทิศานุทิศทั้งหลาย  ก็ดูมืดมนไป  แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่สว่างแก่ดวงจิต  เพราะมาวิตกคิดถึงความไข้ที่ทรงพระประชวรนั้น  แต่ยังอุ่นใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ปรารภพระภิกษุสงฆ์  แล้วตรัสพระพุทธวจนะอันใดอันหนึ่ง  แล้วยังจักไม่ทรงปรินิพพานก่อน  ข้าพระองค์มีความดีใจอยู่หน่อยหนึ่งฉะนี้"

"ดูกร  อานนท์  ภิกษุสงฆ์ยังมาหวังอะไรในตถาคตอีกเล่า  ธรรมที่ตถาคตแสดงแล้วทั้งปวง  ตถาคตแสดงโดยเปิดเผย  ไม่มีภายในภายนอก ไม่มีการปกปิดซ่อนความสำคัญในธรรมใด ๆ เลย"

"อานนท์  ตถาคตเป็นศาสดาของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยจิตบริบูรณ์  พ้นจากตัณหา  มานะ  ทิฏฐินิสัย  ด้วยประการทั้งปวง"

ข้อซึ่งลี้ลับ  จะปกปิดซ่อนบังไว้  โดยแสดงเฉพาะแก่สาวกบางรูปบางเหล่า  ไม่ทั่วไปก็ดี  หรือจะเก็บไว้แสดงต่ออวสานกาลสุดท้ายก็ดี  ข้อนั้นมิได้มีแก่ตถาคตเลย"

"อานนท์  ผู้ใดยังมีฉันทะ  อาลัยอยู่ว่า  จะรักษาภิกษุสงฆ์  ผู้นั้นแหละจะพึงปรารภภิกษุสงฆ์  แล้วกล่าวคำอันใดอันหนึ่ง  แสดงความห่วงใย  อันฉันทะปริวิตกเช่นนั้น  ไม่มีแก่ตถาคตเลย"

"อานนท์  บัดนี้  ตถาคตเจริญวัย  อายุตถาคตถึง ๘๐ ปีแล้ว  กายของตถาคตปรากฏวิปริต  โดยอาการเห็นปานนี้  อินทรีย์ทั้งหลายมีจักษุเป็นต้น  ก็วิกลแปรปรวน  ไม่ปกติเหมือนแต่ก่อน  ทุกประการเหมือนเกวียนเก่าคร่ำคร่า  อาศัยไม้ไผ่ผูกกระหนาบ  คาบ  ค้ำ  อุปถัมภ์บำรุงไว้  ฉันใด  กายของตถาคตก็ฉันนั้น เมื่อล่วงลุถึงชรา  อาศัยสมาธิภาวนาอุปถัมภ์บำรุงไว้  จึงค่อยพอเป็นไป"

"อานนท์  เธอจงอาศัยตนของตนเองเป็นที่พึ่งที่พำนักเถิด  สิ่งอื่นซึ่งจักเป็นที่พึ่งที่แน่นอนแก่ตนไม่มี"

พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรมปรารภความชรา  ซึ่งเบียดเบียนกายของพระองค์แก่พระอานนท์เถระเจ้าด้วยประการฉะนี้  เทพยดาที่มาสดับพระธรรมเทศนาในที่นั้น  ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอันมาก

ครั้นวันรุ่งขึ้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี  เมื่อเสด็จกลับมาทำภัตตกิจแล้ว เสด็จไปเมืองไพศาลี  พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐  รูป  ประทับที่กูฏาคารศาลา  ป่ามหาวัน

ฝ่ายบรรดากษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลาย  ได้สดับข่าว  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา  ต่างมีความยินดีเลื่อมใส ได้นำสักการะออกไปเฝ้าถวายบังคมพระบรมศาสดา  สดับพระธรรมเทศนา  แล้วทูลอาราธนาให้เสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาต

ครั้นรุ่งเช้า  พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก  เสด็จเข้าไปในพระราชนิเวศน์  ทรงทำภัตตกิจแล้ว  ประทานธรรมานุศาสน์แก่กษัตริย์ลิจฉวีทั้งปวง  แล้วเสด็จออกจากพระนคร  ทรงประทับยืนอยู่หน้าประตูเมืองไพศาลี  เยื้องพระกายผันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเมืองไพศาลีเป็นครั้งสุดท้าย  รับสั่งแก่พระอานนท์เถระว่า  "อานนท์  การเห็นเมืองไพศาลีของตถาคตครั้งนี้เป็นปัจฉิมทรรศนะ"   แล้วเสด็จไปยังกูฏาคารศาลา  สถานที่ประทับยืนนั้น  เรียกว่า  "นาคาวโลกเจดีย์สถาน".



.....................................





วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อัครสาวกปรินิพพาน (ตอน ๔)


ครั้นแล้วจึงจัดการเรี่ยไรทรัพย์จากอุปัฏฐากของตน ๆ  จ้างโจรทั้งหลายที่โลภ
ในทรัพย์  ให้ไปฆ่าพระเถระเจ้า  พาพวกไปล้อมจับพระเถระเจ้ายังที่อยู่  พระมหา
โมคคัลลานเถระเจ้า  ได้ทำปาฏิหาริย์หนีไปได้ทุกครั้ง  แต่โจรพวกนั้นพยายาม
ล้อมจับอยู่ถึง ๒ เดือน  ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ  ครั้นถึงเดือนที่ ๓  พระเถระเจ้า
พิจารณาเห็นกรรมของท่าน  ที่ทำในชาติก่อนติดตามมา  เห็นควรจะรับผลแห่ง
กรรมที่ตามมาสนองนั้น  จึงยอมให้โจรล้อมจับตามประสงค์  ครั้นพวกโจรจับ
พระเถระเจ้าได้แล้ว  จึงได้ทุบตีจนอัฏฐิหัก  แตกแหลกไม่มีดี  โดยเกรงว่าจะไม่ตาย
แล้วจะกลับฟื้นคืนชีพได้  ครั้นแน่ใจ่ว่าพระเถระเจ้าไม่อาจจะฟื้นคืนชีพได้แล้ว
จึงเอาสรีระของท่านไปทิ้งไว้ในที่แห่งหนึ่ง  ซึ่งเห็นว่าพอจะลับตาคนได้  แล้วพา
กันหนีไปจากที่นั้น

พระมหาโมคคัลลาเถระดำริว่า  อาตมะควรจะไปทูลลาพระบรมศาสดาเสียก่อนจึง
ปรินิพพาน  ครั้นดำริแล้วก็เรียงลำดับสรีระกาย  ผูกเข้าให้มั่นด้วยกำลังฌาน  แล้ว
เหาะไปโดยอากาศวิถี  เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า  ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพาน"

มีพระพุทธดำรัสว่า  "เธอจะปรินิพพานละหรือ ?  โมคคัลลานะ"

"พระเจ้าข้า  ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพานในวันนี้แล้ว"

"โมคคัลลานะ  เธอจะปรินิพพาน  ณ  ที่ใด ? "

"ที่กาฬศิลาประเทศ  พระเจ้าข้า"  พระมหาโมคคัลลานะ  กราบทูล

"ถ้าเช่นนั้น  เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน"  พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่ง  "ด้วยการ
ที่จะเห็นพระสาวกเหมือนอย่างเธอ  จะไม่มีต่อไปแล้ว"

พระมหาโมคคัลลานเถระ  รับพระพุทธบัญชาแล้ว  ได้ทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปใน
อากาศ  โดยอาการเช่นเดียวกับพระสารีบุตรเถระ  ครั้นแสดงธรรมแล้ว  ลงมาจาก
อากาศ  ถวายอภิวาท  ทูลลาพระบรมศาสดาไปยังกาฬศิลาประเทศ  ปรินิพพานใน
ที่นั้น  ในวันสิ้นเดือน ๑๒  หลังจากพระสารีบุตรปรินิพพาน ๑๕  วัน

ในกาลนั้น  เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ได้ไปสโมสรประชุมกันถวายสักการบูชาสรีระ
ศพพระเถระเจ้าด้วยดอกไม้  ธูป  เทียน  และไม้หอมอันวิจิตรมีประการต่าง ๆ

พระผู้มีพระภาคเจ้า  พร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลาย  ได้เสด็จไปเป็นประธานจุดเพลิง
ทำฌาปนกิจสรีระศพพระเถระเจ้า  ในท่ามกลางเทพยดาและมนุษย์  ซึ่งได้พร้อมเพรียง
กันมามากยิ่งนัก  ขณะนั้น  ฝนดอกไม้ทิพย์ได้ตกลงมาในบริเวณถวายเพลิงพระเถระเจ้า
ประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ  มหาชนได้มาประชุมสักการะศพพระเถระเจ้าถึง  ๗  วัน

พระผู้มีพระภาคเจ้า  โปรดให้เก็บอัฎฐิธาตุพระเถระเจ้า  มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ที่ซุ้มประตู
พระเชตวนาราม


................................