วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงปลงอายุสังขาร (ต่อ)


"อานนท์  เธอเชื่อว่า  อิทธิบาทภาวนามีอานุภาพถึงเช่นนั้นหรือ ? "

"เชื่อ  พระเจ้าข้า"

"แล้วเพราะอะไรเล่า  อานนท์  เมื่อตถาคตทำนิมิตโอภาสอันชัดซึ่งพอจะรู้ได้  อานนท์ก็กลับไม่รู้ไม่อาราธนา  ไม่วิงวอนตถาคต  ในกาลอันควรจะอาราธนา  เป็นความผิดของอานนท์ผู้เดียว"

อานนท์  ถ้าในคราวนั้น  หากเธอจะรู้ทัน  และอาราธนาตถาคตแล้ว  ตถาคตก็จะพึงห้ามสัก ๒ ครั้ง  แล้วในครั้งที่ ๓  ตถาคตก็จะรับคำวิงวอนอาราธนานั้น  ก็เมื่ออานนท์ไม่วิงวอนอาราธนาในเวลานั้น  จึงเป็นความผิดพลาดของอานนท์ผู้เดียว"

"อานนท์  ความจริง  นิมิตโอภาสอันนี้  มิใช่ตถาคตจะแสดงแก่เธอในครั้งเดียว  ในที่นี้ก็หาไม่  ตถาคตได้แสดงแก่อานนท์ถึง ๑๖ ครั้ง  ๑๖ ตำบล  อานนท์คงจะยังระลึกได้อยู่  คือ  ที่เมืองราชคฤห์ ๑๐ ตำบล  คือ ๑. ที่ภูเขาคิชฌกูฎ  ๒. ที่โคตมนิโครธ  ๓. ที่เหวสำหรับทิ้งโจร  ๔. ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต  ๕. ที่กาฬศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิบรรพต  ๖. ที่สัปปิโสณฑิกา  ณ  สีตวัน  ๗. ที่ตโปทาราม  ๘. ที่เวฬุวนาราม  ๙. ที่ชีวกัมพวนาราม  ๑๐. ที่มัททกุจฉิวัน กับที่เมืองไพศาลี ๖ ตำบล  คือ ๑. ที่อุทเทนเจดีย์  ๒. ที่โคตมเจดีย์  ๓. ที่สัตตัมพเจดีย์  ๔. ที่พหุปุตตเจดีย์  ๕. ที่สารันทเจดีย์  ๖. ที่ปาวาลเจดีย์  นี้เป็นครั้งสุดท้าย  รวมเป็น ๑๖ ตำบลด้วยกัน

อานนท์  ในวาระทั้ง ๑๖ ครั้งนั้น  เป็นการที่ควรจะอาราธนาวิงวอนตถาคต  อานนท์ก็ไม่รู้  ไม่อาราธนา ไม่วิงวอน  หากใน ๑๖ ครั้งนั้นอานนท์จะพึงอาราธนาวิงวอนตถาคต  ณ  สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง  ตถาคตก็จะพึงห้ามเสีย  ๒  ครั้ง  แล้วในครั้งที่ ๓  ตถาคตก็จะรับอาราธนาของอานนท์  เพราะอานนท์ไม่รู้ ไม่อาราธนา ไม่วิงวอน  ปล่อยให้ล่วงเลยเวลาอันควรมา  นั่นเป็นความผิดพลาดของอานนท์ผู้เดียว"

"ตถาคตได้บอกเธอมาแต่เดิมแล้วมิใช่หรือ  อานนท์ว่า  "บรรดาสัตว์สังขารที่รักใคร่เจริญใจทั้งปวง  ล้วนไม่คงทนถาวรอยู่ได้ตามใจประสงค์  ย่อมพลัดพรากจากไปเป็นอื่นสิ้น  จะหาสิ่งซึ่งเที่ยง ยั่งยืนถาวร ในสังขารนี้ได้ที่ไหน  ทุกสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ย่อมมีความสลายตัวไปเป็นธรรมดา  การที่จะรำร้องว่า ขอสิ่งนั้นอย่าได้ฉิบหายเลย  ย่อมไม่เป็นฐานะที่พึงได้  เป็นได้  ดังประสงค์โดยแท้"

"ดูกร  อานนท์  สิ่งใดที่ตถาคตได้สละแล้ว  คายแล้ว ปล่อยเสียแล้ว ละเสียแล้ว วางเสียแล้ว  การที่ตถาคตจักคืนกลับมารับสิ่งนั้นเข้าไว้อีกเพราะเหตุแห่งชีวิต  ไม่เป็นฐานะที่จะมีขึ้นได้เลย"

อานนท์  ทั้งคนหนุ่ม ทั้งคนแก่ ทั้งคนโง่  คนฉลาด  คนจนคนมี ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกันสิ้น เป็นภาชนะดิน ถึงจะเล็ก ใหญ่ ดิบ สุก ประการใด ก็ย่อมมีความแตกทำลายเป็นที่สุดเหมือนกันหมดฉะนั้น

สังขารทั้งหลายมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา  มีความเกิดในเบื้องต้น  แปรปรวนในท่ามกลาง และดับสลายลงในที่สุด  พระนิพพานเป็นคุณชาติดับเสียซึ่งชาติ ชรา มรณะ เป็นเอกันตสุข ประเสริฐ หาสิ่งเสมอมิได้

อานนท์  วัยของตถาคตล่วงลุถึงความชราแล้ว  ชีวิตของตถาคตเหลืออยู่น้อยแล้ว  ไม่ช้าก็จะละท่านทั้งปวงไป  ท่านทั้งหลายจงมีสติ  อย่าได้ประมาท  พยายามกระทำที่พึ่งแก่ตน  พึงรักษาจตุปาริสุทธิศีล  มากอยู่ด้วยการเจริญสมณธรรมเป็นอันดี  ผู้ใดมั่นอยู่ในอัปปมาทธรรม  ประพฤติธรรมวินัยนี้ให้บริสุทธิ์ด้วยดี  ผู้นั้นจักละเสียได้ซึ่งชาติสงสาร    ถึงซึ่งฝั่งแห่งนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์"

ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนา  แก่พระอานนเถรเจ้าด้วยประการฉะนี้แล้ว  จึงรับสั่งแก่พระอานนท์ว่า  "อานนท์ เราพร้อมกันจะไปบ้านภัณฑุคาม ณ บัดนี้"  เมื่อพระภิกษุสงฆ์พร้อมกันแล้ว  ก็เสด็จพระพุทธดำเนินไปยังบ้านกัณฑุคาม  ประทับสำราญพระอิริยาบถโดยควรแก่พระอัธยาศัย  แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท ณ บ้านภัณฑุคามนั้นให้ตั้งอยู่ในอริยธรรม คือ  ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ อันเป็นธรรมนำให้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งมวล

ต่อนั้น  พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์  ได้เสด็จไปสู่บ้านหัตถีคามและอัมพคาม และชัมพุคาม และเมืองโภคนคร  โดยลำดับ  ประทับอยู่ที่แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทชาวเมืองนั้น

ต่อนั้น  จึงได้เสด็จไปยังเมืองปาวานคร  เสด็จเข้ายับยั้งอาศัยที่อัมพวันสวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร  คือ บุตรนายช่างทอง  ซึ่งอยู่ใกล้เมืองนั้น


..............................................








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น