ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
ใกล้พระนครไพศาลี ทรงทราบว่า พระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาซึ่งประทับ
อยู่กบิลพัสดุ์นคร ทรงประชวรหนัก อาศัยที่ทรงสมบูรณ์ด้วยพระกตัญญูกต
เวทิตาธรรมจึงเสด็จไปเยี่ยมพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระสาวกเป็นอันมาก
ทรงบำเพ็ญปิตุปัฏฐานธรรมถวายการพยาบาลตามพุทธวิสัย
ขณะนั้น พระเจ้าสุทโธทนะ ได้รับการบีบคันจากอาพาธกล้า เกิดทุกขเวทนา
ยิ่งนักมีพระอาการทุรนทุรายหมดสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกพระหัตถ์ตั้งพระทัย
อธิษฐานจิตบำบัดโรคาพาธ แล้วทรงลูบลงที่พระเศียรพระเจ้าสุทโธทนะ
ขณะนั้นอาพาธกล้าก็ทุเลาลงด้วยพระบารมี พระอานนทเถรเจ้ายกพระหัตถ์ลูบ
ที่พระหัตถ์เบื้องขวาอาพาธกล้าข้างขวาก็ทุเลาลง พระอานนทเถรเจ้า ยกพระหัตถ์
ลูบที่พระหัตถ์เบื้องซ้าย อาพาธกล้าข้างซ้ายก็ทุเลาลง พระราหุลเถรเจ้ายก
พระหัตถ์ลูบที่พระปฤษฎางค์อาพาธกล้าที่พระกายก็ทุเลาลง พระเจ้าสุทโธทนะ
ทรงพระสำราญพระกายคลายความทุกขเวทนาอันสาหัส ทรงลุกขึ้นประทับ
นั่งถวายบังคมพระบรมศาสดา ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
ที่เสด็จมาทรงอนุเคราะห์
พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา โปรดให้พระพุทธบิดาบรรลุ
พระอรหัตผล แต่ด้วยพระเจ้าสุทโธทนะทรงพิจารณาเห็นชนมายุของ
พระองค์ถึงอวสานสุดสิ้นเพียงนั้นแล้ว ก็ทูลลาพระบรมศาสดาเสด็จนิพพาน
และลาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งสิ้นด้วยกันแล้ว พระองค์ก็เสด็จนิพพาน
ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน
พระบรมศาสดาทรงเคารพในขัตติยประเพณีนิยม ทรงเป็นประธานอำนวย
การพระศพในฐานะที่พระองค์เป็นพระโอรสและเป็นพระญาติผู้ใหญ่
จึงโปรดให้พระมหากัสสปเถรเจ้าไปตรวจที่ประดิษฐานจิตกาธาน
เพื่อถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา ตามขัตติยประเพณี เมื่อเจ้าพนักงาน
อัญเชิญพระศพไปประดิษฐาน ณ พระจิตกาธาน ที่จัดถวายสมพระเกียรติของ
พระมหากษัตริย์ บรรดาพระประยูรญาติทั้ง ๖ พระนคร คือ เมืองกบิลพัสดุ์ ๑
เมืองเทวทหะ ๑ เมืองโกลิยะ ๑ เมืองสักกะ ๑ เมืองสุปวาสะ ๑ เมืองเวรนคร ๑
ก็ประชุมกันบำเพ็ญกุศลมหายัญญ์อุทิศถวายด้วยความเคารพ
และความอาลัยอย่างยิ่ง
ครั้นได้เวลา พระศาสดาก็ทรงประทานจุดเพลิงถวายพระศพพระพุทธบิดา
บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลาย พากันโศกเศร้าพิลาปไห้ปริเทวนาการ
พระบรมศาสดาจารย์ก็ทรงตรัสธรรมีกถาเล้าโลมระงับความเศร้าโศก
แห่งมหาชนโดยควรแก่อุปนิสัย.
.....................................