วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฐมเทศนา (ตอนที่ ๔)


ขณะที่พระบรมศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ โปรดท่านเศรษฐี ยสมาณพนั่งอยู่ในที่นั้น ได้ฟังเทศนาทั้งสองเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งในที่นั่งนั้นเอง  พิจารณาภูมิธรรมตามกระแสพระธรรมเทศนา  จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน  สำเร็จอริยคุณเบื้องสูงเป็นพระอรหันต์ ณ ที่นั้น  นับว่า
ยสมาณพเป็นพระอรหันต์องค์แรกที่อยู่ในเพศคฤหัสถ์  คือ ยังมิทันได้บวชก็บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นคุณสูงสุดในพระศาสนานี้

ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดา  ไม่ทราบว่าท่านยสะสิ้นอาสวะแล้ว  จึงกล่าวแก่ยสะว่า  "พ่อยสะ  มารดาของเจ้าไม่เห็นเจ้า มีความเศร้าโศกพิไรรำพันยิ่งนัก  เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด"

ท่านยสะแลดูพระบรมศาสดา  พระบรมศาสดาจึงตรัสบอกแก่เศรษฐีให้ทราบว่า  "บัดนี้ ยสะได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์แล้ว มิใช่ผู้ที่จะกลับคืนไปครองฆราวาสอีก"

ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า  "เป็นลาภอันประเสริฐของยสะแล้ว  ขอให้ยสะได้รุ่งเรืองอยูในอนาคาริยวิสัยเถิด"  แล้วกราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดากับพระยสะ ให้ไปรับอาหารบิณฑบาตรด้วยอาการดุษณีภาพ  แล้วก็ถวายบังคมลากลับไปสู่เรือน  แจ้งข่าวแก่ภรรยา พร้อมกับสั่งให้จัดแจงขาทนียโภชนียาหารอันประณีต  เพื่อถวายพระบรมศาสดา

เมื่อท่านเศรษฐีกลับแล้ว  ยสมาณพได้กราบทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุ  พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นพิเศษ  ด้วยยสมาณพได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์แล้ว เพียงแต่ทรงรับให้เข้าอยู่ในภาวะของภิกษุ  ในพระธรรมวินัยได้เท่านั้น  ดังนั้น จึงตรัสพระวาจาแต่สั้น ๆ ว่า  "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว  ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด"  ตัดคำว่า  "เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ"  ข้างท้ายออกเสีย ด้วยพระยสะถึงที่สุดทุกข์แล้ว

ในเวลาเช้าวันนั้น  พระบรมศาสดาก็มา โดยมีพระยสะเป็นพระตามเสด็จ ๑ รูป  เสด็จไปยังเรือนท่านเศรษฐีตามคำอาราธนา  ประทับนั่งยังอาสนะที่ตกแต่งไว้ถวายเป็นอันดี  มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะเข้าเฝ้า  พระบรมศาสดาทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔  ให้สตรีทั้งสองได้ธรรมจักษุ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  ปฏิญาณตนเป็นอุบาสิกาขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต  มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะ ได้เป็นอบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนาก่อนกวาอุบาสิกาทั้งหลายในโลกนี้

ครั้นได้เวลาภัตตกิจ  มารดาบิดาภรรยาเก่าของพระยสะ  ได้จัดการอังคาสด้วยขัชชโภชนาหารอันประณีตด้วยมือตนเอง  เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระบรมศาสดาตรัสอนุโมทนาให้อุบาสกอุบาสิกาทั้ง ๓ นั้น อาจหาญ ร่าเริงในเป็นอันดีแล้ว  เสด็จกลับประทับยังป่าอิสิปตนมิคทายวัน

ครั้งนั้น  มีเศรษฐีบุตรชาวเมืองพาราณาสี ๔ คน คือ  วิมละ ๑  สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑   ควัมปติ ๑  ซึ่งเป็นสหายที่รักใคร่ของพระยสะ  ครั้นได้ทราบข่าวว่า พระยสะออกบวช  เกิดความสนใจใคร่จะรู้ธรรมที่พระยสะมุ่งหมายประพฤติพรต  ดังนั้น  สหายทั้ง ๔ คน จึงพร้อมกันไปพบพระยสะถึงที่อยู่  พระยสะได้พาสหายทั้ง ๔ คนนั้น ไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลให้ทรงสั่งสอน พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดเศรษฐีบุตรทั้ง ๔ นั้น  ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว  พระองค์ทรงประทานอุปสมบทให้เป็นภิกษุ ทั้งทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหันต์ผลในกาลต่อมา  ครั้งนั้น  มีพระอรหันต์ในโลกเป็นจำนวน ๑๑ องค์ด้วยกันรวมทั้งพระบรมศาสดา

ต่อมามีสหายของพระยสะ  ซึ่งเป็นชาวชนบท ๕๐ คน  ได้ทราบข่าวว่าพระยสะออกบวช มีความคิดเช่นเดียวกับสหายของพระยสะทั้ง ๔  นั้น จึงไปหาพระยสะที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน  ได้สดับธรรม มีความเลื่อมใส ได้อุปสมบทและได้บรรลุพระอรหันต์ผลด้วยกันทั้งหมดโดยนัยก่อน  จึงมีพระอรหันต์รวมทั้งพระบรมศาสดาด้วย ๖๑ องค์

                                                 
                                                       ..............................................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น