ภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริง ในอริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ อาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว เราก็ยังไม่อาจยืนยันว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีความรู้อันใดเหนือเพียงนั้น
เมื่อใด ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริง ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเราหมดจดดีแล้ว เมื่อนั้น เราอาจยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีความรู้อันใดเหนือก็แลปัญญาได้เกิดขึ้นแก่เราชัดว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ ความเกิดครั้งนี้เป็นที่สุดแล้ววบัดนี้ ไม่มีความเกิดอีก
เมื่อพระสัมพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาอยู่ ธรรมจักษุ คือดวงตาอันเห็นธรรม ปราศจากธุลีมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่านโกณฑัญญะว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา" พระองค์ทรงทราบว่าท่านโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว จึงทรงเปล่าอุทานด้วยความเบิกบานพระทัยว่า "อัญญาสิ วต โก โกณฑัญโญ ๆ " แปลว่า "โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ๆ " พระโกณฑัญญะจึงได้คำว่า อัญญา อันเป็นคำนำหน้าพระอุทาน เพิ่มชื่อข้างหน้า พระอัญญาโกณฑัญญะ ตั้งแต่กาลนั้นมา
เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบลง ให้พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุโสดาปัตติมรรค เป็นพระโสดาบันแล้ว และให้บรรดาอเนกนิกรเทพยดาที่มาประชุมฟังธรรมเทศนาอยู่ ได้บรรลุคุณวิเศษโดยควรแก่วิสัย สุดที่จะคณนา
พระโกณฑัญญะจึงได้ทูลขออุปสมบท เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยของพระสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้เป็นภิกษุในธรรมวินัย ด้วยพระวาจาว่า "ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด" ด้วยพระวาจาเพียงเท่านั้น ก็ได้สำเร็จเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยอย่างสมบูรณ์ ด้วยเวลานั้นยังมิได้ทรงบัญญัติวิธีอุปสมบทแบบอื่นไว้ ทั้งเพิ่งเป็นการประทานอุปสมบทเป็นครั้งแรกในพระศาสนา ฉะนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงเป็นพระสงฆ์องค์แรก เป็นพระอริยบุคคลองค์แรกและเป็นพระสาวกองค์แรกในพระศาสนานี้ เป็นอันว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ได้เกิดขึ้นแล้วบริบูรณ์ในกาลแต่บัดนั้น
พระบรมศาสดา มีพระพุทธประสงค์จะทรงโปรดพระปัญจวัคคย์ ให้สำเร็จพระอรหัต เพื่อเป็นกำลังในการประกาศพระศาสนาต่อไป จึงเสด็จจำพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ทรงสั่งสอนบรรพชิตทั้ง ๔ รูปที่เหลืออยู่นั้น ด้วยพระธรรมเทศนาต่าง ๆ ตามสมควรแก่อัธยาศัย เมื่อท่านวัปปะและท่านภัททิยะ ได้ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะแล้ว ทูลขออุปสมบท พระศาสดาก็ทรงประทานอุปสมบทแก่ท่านทั้งสอง นั้น เหมือนอย่างประทานแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ ภายหลังท่านมหานามะและท่านอัสสชิ ได้ธรรมจักษุ แล้วทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาก็ทรงประทานเหมือนอย่างประทานแก่สาวกทั้ง ๓
ครั้นพระภิกษุปัญจวัคคย์ ตั้งอยู่ในที่พระสาวกแล้ว มีอินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้น แก่กล้า สมควรสดับธรรม จำเริญวิปัสสนา เพื่อวิมุติเบื้องสูงแล้ว ครั้นถึงแรม ๕ ค่ำ แห่งเดือนสาวนะ คือเดือน ๙ ซึ่งเท่ากับแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ไทย ด้วยสมัยนั้น นับแรมเป็นต้นเดือน นับขึ้นเป็นปลายเดือน พระศาสดาจึงได้แสดงพระธรรมสั่งสอนพระปัญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตร เมื่อพระภิกษุปัญจวัคคีย์ ผู้พิจาณาภูมิธรรมตามกระแสเทศนานั้น พ้นแล้วจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด
ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์ คือ พระสัมพุทธเจ้า ๑ พระอริยสาวก ๕ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ๑ พระวัปปะ ๑ พระภัททิยะ ๑ พระมหานามะ ๑ พระอัสสชิ ๑ รวมเป็น ๖ ด้วยประการฉะนี้
.....................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น