วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฐมเทศนา (ตอนที่ ๒)


ภิกษุทั้งหลาย  ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริง  ในอริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ อาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว  เราก็ยังไม่อาจยืนยันว่า  เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ  ไม่มีความรู้อันใดเหนือเพียงนั้น

เมื่อใด  ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริง  ในอริยสัจ ๔  เหล่านี้ของเราหมดจดดีแล้ว  เมื่อนั้น เราอาจยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีความรู้อันใดเหนือก็แลปัญญาได้เกิดขึ้นแก่เราชัดว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ ความเกิดครั้งนี้เป็นที่สุดแล้ววบัดนี้  ไม่มีความเกิดอีก

เมื่อพระสัมพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาอยู่  ธรรมจักษุ คือดวงตาอันเห็นธรรม ปราศจากธุลีมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่านโกณฑัญญะว่า  "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา"  พระองค์ทรงทราบว่าท่านโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว  จึงทรงเปล่าอุทานด้วยความเบิกบานพระทัยว่า  "อัญญาสิ  วต  โก  โกณฑัญโญ ๆ "  แปลว่า  "โกณฑัญญะ  ได้รู้แล้วหนอ ๆ "  พระโกณฑัญญะจึงได้คำว่า  อัญญา  อันเป็นคำนำหน้าพระอุทาน เพิ่มชื่อข้างหน้า  พระอัญญาโกณฑัญญะ ตั้งแต่กาลนั้นมา

เมื่อพระผู้มีพระภาค  ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบลง ให้พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุโสดาปัตติมรรค เป็นพระโสดาบันแล้ว  และให้บรรดาอเนกนิกรเทพยดาที่มาประชุมฟังธรรมเทศนาอยู่ ได้บรรลุคุณวิเศษโดยควรแก่วิสัย สุดที่จะคณนา

พระโกณฑัญญะจึงได้ทูลขออุปสมบท เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยของพระสัมพุทธเจ้า  พระองค์ทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้เป็นภิกษุในธรรมวินัย ด้วยพระวาจาว่า  "ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์  เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"  ด้วยพระวาจาเพียงเท่านั้น  ก็ได้สำเร็จเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยอย่างสมบูรณ์  ด้วยเวลานั้นยังมิได้ทรงบัญญัติวิธีอุปสมบทแบบอื่นไว้  ทั้งเพิ่งเป็นการประทานอุปสมบทเป็นครั้งแรกในพระศาสนา  ฉะนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงเป็นพระสงฆ์องค์แรก  เป็นพระอริยบุคคลองค์แรกและเป็นพระสาวกองค์แรกในพระศาสนานี้  เป็นอันว่า  พระรัตนตรัย  คือ  พระพุทธเจ้า  พระธรรมเจ้า  พระสังฆเจ้า ได้เกิดขึ้นแล้วบริบูรณ์ในกาลแต่บัดนั้น

พระบรมศาสดา มีพระพุทธประสงค์จะทรงโปรดพระปัญจวัคคย์ ให้สำเร็จพระอรหัต เพื่อเป็นกำลังในการประกาศพระศาสนาต่อไป  จึงเสด็จจำพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน  ทรงสั่งสอนบรรพชิตทั้ง ๔ รูปที่เหลืออยู่นั้น  ด้วยพระธรรมเทศนาต่าง ๆ  ตามสมควรแก่อัธยาศัย  เมื่อท่านวัปปะและท่านภัททิยะ ได้ธรรมจักษุ  ดวงตาเห็นธรรมอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะแล้ว ทูลขออุปสมบท  พระศาสดาก็ทรงประทานอุปสมบทแก่ท่านทั้งสอง นั้น  เหมือนอย่างประทานแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ  ภายหลังท่านมหานามะและท่านอัสสชิ ได้ธรรมจักษุ แล้วทูลขออุปสมบท  พระบรมศาสดาก็ทรงประทานเหมือนอย่างประทานแก่สาวกทั้ง ๓

ครั้นพระภิกษุปัญจวัคคย์ ตั้งอยู่ในที่พระสาวกแล้ว มีอินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้น แก่กล้า สมควรสดับธรรม จำเริญวิปัสสนา เพื่อวิมุติเบื้องสูงแล้ว  ครั้นถึงแรม ๕ ค่ำ แห่งเดือนสาวนะ คือเดือน ๙ ซึ่งเท่ากับแรม ๕ ค่ำ  เดือน ๘ ไทย  ด้วยสมัยนั้น นับแรมเป็นต้นเดือน  นับขึ้นเป็นปลายเดือน  พระศาสดาจึงได้แสดงพระธรรมสั่งสอนพระปัญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตร  เมื่อพระภิกษุปัญจวัคคีย์ ผู้พิจาณาภูมิธรรมตามกระแสเทศนานั้น  พ้นแล้วจากอาสวะ  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน  สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

ครั้งนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์  คือ  พระสัมพุทธเจ้า ๑  พระอริยสาวก ๕  คือ  พระอัญญาโกณฑัญญะ ๑  พระวัปปะ ๑  พระภัททิยะ ๑  พระมหานามะ ๑  พระอัสสชิ ๑  รวมเป็น ๖ ด้วยประการฉะนี้

                                                     .....................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น