ขณะนั้น พญาวัสวดีมาราธิราชได้สดับเสียงเทพเจ้า บันลือเสียงสาธุการ ก็ทราบชัดในพระทัยว่า พระมหาบุรุษจะตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ทำลายบ่วงมารที่เราวางขึงรึงไว้ แล้วหลุดพ้นไปได้ ก็น้อยใจ คิดริษยา เคียดแค้น จึงป่าวประกาศเรียกพลเสนามารจำนวนมาก พร้อมด้วยสรรพาวุธและสรรพวาหนะที่ร้ายแรงเหลือที่จะประมาณ เต็มไปในท้องฟ้า พญาวัสวดีขึ้นช้างพระที่นั่งคีรีเมขล์ นิรมิตรมือพันมือถืออาวุธพร้อมสรรพ นำกองทัพอันร้ายเหาะมาทางนภาลัยประเทศ เข้าล้อมเขตบัลลังก์ของพระมหาบุรุษเจ้าไว้อย่างแน่นหนา
ทันใดนั้นเอง บรรดาเทพเจ้าที่พากันมาห้อมล้อมถวายสักการบูชาสาธุการพระมหาบุรุษอยู่ เมื่อได้เห็นพญามารยกพหลพลมารมาเป็นอันมาก ต่างก็มีความตกใจกลัว อกสั่นขวัญหาย พากันหนึไปยังขอบจักรวาล ทิ้งพระมหาบุรุษเจ้า ให้ต่อสู้พญามารแต่พระองค์เดียว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
เมื่อพระมหาบุรุษไม่ทรงแลเห็นผู้ใดที่ไหนจะช่วยได้ ก็ทรงระลึกถึงบารมีธรรมทั้ง ๓๐ ประการ ซึ่งเป็นดุจทหารที่แกล้วกล้า มีศัสตราวุธครบครัน สามารถผจญกับหมู่มาร ขับไล่ให้ปราชัยหนีไปสิ้นเชิงได้ และเหล่าเทวดาได้พร้อมกันมารับอาสาอยู่พร้อมมูลเช่นนั้น พระมหาบุรุษก็ทรงโสมนัส ทรงประทับนิ่งอยู่โดยมิได้สะทกสะท้านแต่ประการใด
ฝ่ายพญามารวัสวดีเห็นพระมหาบุรุษประทับนิ่ง มิได้หวั่นไหวแต่ประการใด ก็พิโรธ ร้องประกาศกึกก้องให้เสนามารรุกเข้าทำอันตรายหลายประการ จนหมดฤทธิ์ บรรดาสรรพาวุธศัสตรายาพิษที่พุ่งชัดไป ก็กลับกลายเป็นบุปผามาลัยบูชาพระมหาบุรุษจนสิ้น ครังนั้นพญามารตรัสแก่พระมหาบุรุษด้วยสันดานพาลว่า "ดูกร สิทธัตถะ บัลลังก์แก้วนี้เกิดเพื่อบุญเรา เป็นของสำหรับเรา ท่านเป็นคนไม่มีบุญ ไม่สมควรจะนั่ง จงลุกไปเสียโดยเร็ว"
พระมหาบุรุษหน่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าก็ตรัสตอบว่า "ดูกร พญามารบัลลังก์แก้วนี้ เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมาที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังเขยยกัปป์ จะนับจะประมาณมิได้ ดังนั้น อาตมาผู้เดียวเท่านั้นสมควรที่จะนั่ง ผู้อื่นไม่สมควรเลย"
พญามารก็ค้านว่า ที่พระมหาบุรุษรับสั่งมานั้น ไม่เป็นความจริง ให้หาพยานมายืนยันว่า พระองค์ได้บำเพ็ญกุศลมาจริง ให้ประจักษ์เป็นสักขีพยานในที่นี้
เมื่อพระมหาบุรุษไม่เห็นผู้อื่นใด ใครจะกล้ามาเป็นพยานยืนยันในที่นี้ได้ จึงตรัสเรียกนางวสุนธราเจ้าแห่งธรณีว่า "ดูกร วสุนธรา นางจงมาเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศลของอาตมา ในกาลบัดนี้ด้วยเถิด"
ลำดับนั้น นางวสุนทราเจ้าแม่ธรณี ก็ชำแรกแทรกแผ่นปฐพีขึ้นมาปรากฏกาย ทำอัญชลีถวายอภิวาทพระมหาบุรุษเจ้าแล้ว ก็ประกาศให้พญามารทราบว่า พระมหาบุรุษเมื่อทรงเป็นพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงบำเพ็ญกุศลมามากมาย เหลือที่จะนับประมาณได้ แต่น้ำกรวดที่ข้าพเจ้าเอามวยมารับไว้บนเศียรเกล้า ก็มีมากพอที่จะถือเป็นหลักฐานวินิจฉัยได้ นางวสุนธรากล่าวแล้ว ก็ประจงหัตถ์อันงามปล่อยมวยผม บีบน้ำกรวดที่สะสะไว้ในเอนกชาติให้ไหลหลั่งออกมาเป็นทะเลหลวง กระแสน้ำไหลบ่าออกมาท่วมทับเสนามารทั้งปวงให้จมลงวอดวาย กำลังน้ำได้ทุ่มซัดพัดช้างขีรีเมขล์ ให้ถอยร่นลงไปติดขอบจักรวาล
ครั้นนั้น พญามารตกตะลึงเห็นเป็นอัศจรรย์ ด้วยมิได้เคยเห็นมาแต่กาลก่อน รับประนมหัตถ์ถวายนมัสการ ยอมปราชัยพ่ายแพ้บุญบารมีของพระมหาบุรุษเจ้า แล้วก็อันตรธานหนีไปจากที่นั้นโดยเร็ว
เมื่อพระมหาบุรุษได้ทรงพิชิตพญามารและเสนนามารด้วยพระบารมี เวลาตั้งแต่สายัณห์มิทันที่พระอาทิตย์จะอัสดงคต ก็ทรงเบิกบานพระหฤทัยได้ปีติเป็นกำลังภายในสนับสนุน เพิ่มพูนแรงปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ยิ่งขึ้น ดังนั้น พระมหาบุรุษจึงมิได้ทรงพักให้เสียเวลา ทรงเจริญสมาธิทำจิตให้แน่วแน่ ปราศจากอุปกิเลส จนจิตสุขุมเข้าโดยลำดับ ไม่ช้าก็ได้บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน ซึ่งเป็นส่วนรูปสมาบัติเป็นลำดับ จนถึงอรูปสมาบัติ ๔ บริบูรณ์
.................................................