วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

พระมหาบุรุษ


หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงบรรพชาแล้ว  ได้ดำรัสสั่งนายฉันนะอำมาตย์ว่า  ท่านจงนำอาภรณ์ของอาตมากลับไปยังกรุงกบิลพัสดุ์  แจ้งข่าวแก่ขัตติสกุลทั้งมวลให้ทราบ  แล้วกราบทูลพระปิตุเรศและราชมาตุจฉาว่า  พระโอรสของพระองค์หามีอันตรายด้วยโรคาพยาธิมิได้  บัดนี้ได้บรรพชาแล้ว  อย่าให้พระองค์ทรงทุกขโทมนัสถึงพระราชโอรสเลย  จงเสวยภิรมย์ราชสมบัติให้เป็นสุขทุกอิริยาบถเถิด  เมื่ออาตมะบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้ว  จะได้ไปเฝ้าพระราชบิดา พระราชมาดาและพระประยูรญาติขัตติยวงศ์ทั้งหลาย  ท่านจงกลับไปกราบทูลข่าวสารด้วยประการฉะนี้เถิด

เมื่อนายฉันนะอำมาตย์รับพระราชโองการแล้ว  ได้ถวายบังคมลาแทบพระยุคลบาท มิอาจที่จะกลั้นความโศกเศร้าได้ มิอยากจะจากพระองค์ไปด้วยความอาลัยเสน่หาอาวรณ์ยิ่งนัก  รู้สึกว่าเป็นโทษอย่างยิ่ง ที่ตนทอดทิ้งพระมหาบุรุษให้อยู่แต่ผู้เดียว  แต่ก็ไม่อาจที่จะขัดพระกระแสดำรัสได้  จึงจำใจต้องจากพระองค์ไปด้วยความอาลัยยิ่ง  นำเครื่องอาภรณ์ของพระมหาบุรุษเจ้าทั้งหมด แล้วเดินทางพร้อมกับม้ากัณฐกะสินธวชาติ กลับพระนครกบิลพัสดุ์  พอเดินทางไปเพียงแค่ชั่วสุดสายเท่านั้น  ม้ากัณฐกะก็ขาดใจตายด้วยความความอาลัยในพระมหาบุรุษสุดกำลัง

ครั้งถึงพระนคร  ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ต่างพากันโจษจันกันอย่างหนักว่า  นายฉันนะอำมาตย์กลับแล้ว ต่างพากันรีบไปถาม  เหล่าอำมาตย์ทราบความ  ก็บอกเล่ากันต่อ ๆ ไป จนกระทั่งนายฉันนะอำมาตย์เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะราชบิดา ถวายเครื่องอาภรณ์ของพระมหาบุรุษเจ้า แล้วกราบทูลตามความที่พระมหาบุรุษเจ้าสั่งมาทุกประการ  ครั้นพระราชบิดา  พระมาตุลาและพระนางพิมพา  ตลอดจนขัตติยราชทั้งมวล  ได้สดับข่าวแล้ว ก็ค่อยคลายความโศกเศร้า และต่างก็ตั้งหน้าคอยสดับข่าวตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณของพระมหาบุรุษเจ้าสืบไป  ตามคำพยากรณ์ของอสิตดาบสและพราหมณ์ทั้งหลายได้ทูลถวายไว้แต่ตันนั้น

ฝ่ายโกณฑัญญพราหมณ์ทราบข่าวว่า พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชาแล้ว  ก็ดีใจรีบไปหาบุตรของเพื่อนทั้ง ๗ คน ที่ร่วมคณะถวายคำทำนายพระลักษณะด้วยกัน  กล่าวว่า บัดนี้ เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกบรรพชาแล้ว พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้  โดยไม่มีข้อสงสัย  ถ้าบิดาของท่านทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่  ก็จะออกบรรพชาด้วยกันในวันนี้  หากว่าท่านทั้งหลายมมีความปรารถนาจะบวช  ก็จงมาบวชตามเสด็จพระมหาบุรุษพร้อมกันเถิด

แต่บุตรพรหมณ์ทั้ง ๗ หาได้พร้อมใจกันทั้งหมดไม่ ยินดีที่จะบวชด้วยเพียง ๔ คน  โกณฑัญญพรหมณ์ได้พาหราหมณ์ทั้ง ๔ ออกบรรพชา  รวมเป็น ๕  ท่านด้วยกัน  จึงได้นามว่า  พระปัญจวัคคี  เพราะมีพวกด้วยกัน ๕ คน ชวนกันออกสืบหาติดตามพระมหาบุรุษเจ้า

ส่วนพระมหาบุรุษเจ้านั้น  หลังจากทรงบรรพชาแล้ว เสวยบรรพชาสุขอยู่ ณ ที่ป่าไม้ามะม่วงในตำบลหนึ่ง มีนามว่า  อนุปิยอัมพวัน  ไม่เสวยพระกระยาหารอยู่ ๗ วัน  ครั้นวันที่ ๘ จึงเสด็จดำเนินจากอนุปิยอัมพวัน  เข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์  โดยกิริยาสงบอยู่ในอาการสังวรสมควรแก่ภาวะของสมณะ เป็นที่เลื่อมใสของบรรดาผู้คนที่ได้พบเห็น  เมื่อได้บิณฑบาตพอแก่อาปนมัตแล้ว  จึงเสด็จกลับจากพระนคร  โดยเสด็จออกจากพระนครทางประตูเดิมที่เสด็จเข้าไป  แล้วตรงไปยังบัณฑวบรรพต ซึ่งมีหน้าผาเป็นที่ร่มเย็นตามควรแก่สมณะวิสัย  ประทับนั่ง ณ ที่สมควร ทรงปรารภจะเสวยอาหารในบาต  ทอดพระเนตรเห็นบิณฑบาต ในบาตไม่สะอาดไม่ปราณีต หารสกลิ่นอันควรแก่การเสวยมิได้  เป็นอาหารที่เลว ซึ่งพระองค์ไม่เคยเสวยมาก่อน  ก็บังเกิดปฏิกูลน่ารังเกียจยิ่ง

ลำดับนั้น  พระองค์จึงตรัสสอนพระองค์เองว่า "สิทธัตถะ ตัวท่านบังเกิดในขัตติยสุขุมาลชาติ เคยบริโภคแต่อาหารปรุงแต่งด้วยสุคันธชาติโภชนสาลีอันประกอบด้วยสูปพยัญชนะ มีรสอันเลิศต่าง ๆ  ไฉนทานจึงไม่รู้สึกตนว่า เป็นบรรพชิตเห็นปานฉะนี้  และเที่ยวบิณฑบาตร อย่างงไรจะได้โภชนาหารอันสะอาดประณีตมาแต่ที่ไหนเล่า และบัดนี้ ท่านสมควรจะคิดอย่างไรแก่อาหารที่ได้มานี้"  เมื่อได้ให้โอวาทแก่พระองค์เองฉะนี้แล้ว  ก็มนสิการในปฏิกูลสัญญาพิจารณาอาหารบิณฑบาตด้วยธาตุปัจจเวกขณ์  ด้วยพระปรีชาสมบูรณ์  ด้วยพระสติดำรงมั่น ทรงเสวยมิสกวรหารบิณฑบาตอันนั้น  ปราศจากความรังเกียจ ดุจอมฤตรส และทรงกำหนดในพระทัยว่า  ตั้งแต่บรรพชามาได้ ๘ วัน  เพิ่งได้เสวยภัตตาหารในวันนี้

                                                        ........................................






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น