วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดอกมณฑาตก (๒)


ครั้นพระมหากัสสปะกับพระสงฆ์บริวาร  ๕๐๐  และมหาชนทั้งหลายกราบนมัสการพระบรมยุคลบาทโดยควรแล้ว  พระบาททั้งสองก็ถอยถดหดหายจากหัตถ์พระมหากัสสปะ  นิวัตนาการคืนเข้าพระหีบดังเก่า  ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตั้งอยู่เป็นปกติ  มิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากที่แต่ประการใด  เป็นมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่อีกวาระหนึ่ง  ขณะนั้น  เสียงโศกาปริเทวนาการของมวลเทพยดาและมนุษย์  ซึ่งได้หยุดสร่างสะอื้นแล้วแต่ต้นวัน  ก็ได้พลันดังสนั่นขึ้นอีก  เสมอด้วยวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน

ขณะนั้น  เตโชธาตุ  ก็บันดาลติดพระจิตกาธานขึ้นเองด้วยอานุภาพเทพยดา  เพลิงได้ลุกพวยพุ่งโชตนาเผาพระพุทธสรีระศพ  พร้อมคู่ผ้า  ๕๐๐  ชั้น  กับหีบทองและจิตกาธานหมดสิ้น  ยังมีสิ่งซึ่งเพลิงมิได้เผาให้ย่อยยับไปด้วยอานุภาพพุทธอธิษฐาน  ดังนี้

๑.  ผ้าห่อหุ้มพระพุทธสรีระชั้นใน ๑ ผืน
๒.  ผ้าหุ้มภายนอก  ผ้าห่อหุ้มพระพุทธสรีระ ๑ ผืน  กับทั้ง
๓.  พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔
๔.  พระรากขวัญทั้ง ๒
๕.  พระอุณหิส ๑  รวมพระบรมธาตุ ๗ องค์นี้  ยังคงปกติอยู่ดี  มิได้แตกกระจัดกระจาย  และพระบรมสรีรธาตุทั้งหลาย  นอกนั้นแตกฉานกระจัดกระจายทั้งสิ้น  มีสัณฐานต่างกันเป็น ๓ ขนาด  คือ
         
๑.  ขนาดโต  มีประมาณเท่าเมล็ดถั่วแตก
๒.  ขนาดกลาง  มีประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหัก
๓.  ขนาดเล็ก  มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด

แท้จริง  โดยปกติพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุยืนยาวไม่แตกทำลาย  คงอยู่เป็นแท่ง  แต่พระบรมศาสดาทั้งหลายทรงดำริว่า  "ตถาคตจะมีชนมายุน้อย  ประกาศพระศาสนาอยู่ไม่นาน ก็จะปรินิพพาน  พระศาสนาจะไม่แผ่ไพศาลไปนานาประเทศ  เหตุดังนี้  จึงขออธิษฐานว่า  เมื่อตถาคตปรินิพพานเสร็จการถวายพระเพลิงแล้ว  พระธาตุทั้งหลายจงแตกกระจากออกเป็น ๓ สัณฐาน  มหาชนจะได้เชิญไปนมัสการ  ทำสักการบูชาในนานาประเทศที่อยู่ของตน ๆ  จะเป็นทางให้เข้าถึงกุศล  อันอำนวยผลให้บังเกิดในสุคติภพต่อไป

ครั้นเสร็จการถวายพระเพลิงแล้ว  ท่ออุทกธารแห่งน้ำทิพย์ก็ตกลงจากอากาศ  ดับเพลิงให้อันตรธาน  มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย  ก็มีความชื่นบานได้อัญเชิญมาซึ่งถาดทอง  อันเต็มไปด้วยสุคนธวารี  มาโสรจสรงลงที่พระจิตกาธาน  แล้วก็เก็บพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายใส่ในพระหีบทองน้อย  กับให้ตกแต่งซึ่งพระราชสัณฐานในท่ามกลางพระนคร  ให้งามวิจิตรตระการด้วยสรรพาภรณ์  ควรเป็นที่สถิตประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่คารวะอันสูง  แล้วอัญเชิญพระหีบทองพระบรมสารีริกธาตุขึ้นเหนือคชาธารช้างพระที่นั่ง อันตกแต่งด้วยเครื่องอลังการ  อันมีเกียรติสูง  ทำการสักการบูชาด้วยธูปเทียนสุคนธมาลาบุปผชาติ  แล้วแห่เข้าสู่ภายในพระนคร  อันเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ เบื้องบนรัตนบัลลังก์  ภายใต้เศวตฉัตร  ณ  พระโรงราชสัณฐาคารนั้น

มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย  พากันกริ่งเกรงว่า  อรินทรราชทั้งหลายจักยกแสนยากรมาช่วงชิงพระบรมสารีริกธาตุ  จึงให้จัดตั้งจาตุรงคเสนาโยธาหาญพร้อมสรรพด้วยศัสตราวุธ  ป้องกันรักษาพระบรมสารีริกธาตุ  ทั้งภายในและภายนอกพระนครอย่างมั่นคง  แล้วให้จัดการสมโภชบูชาพระบรมสารีริกธาตุด้วยเครื่องดุริยางค์ดนตรี  ฟ้อนรำ  ขับร้อง  ทั้งกีฬานักกษัตรนานาประการ  เป็นมโหฬารยิ่งนัก  ตลอดกาลถึง ๗ วัน


................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น