วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดอกมณฑาตก (๑)....................


เวลานั้น  พระมหากัสสปะเถระเจ้า  พาพระภิกษุสงฆ์  ๕๐๐  เดินทางจากเมืองปาวา  ไปเมืองกุสินารา  เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  แต่ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน  แสงแดดกล้า  พระเถระเจ้าจึงพาพระภิกษุสงฆ์เข้าหยุดพักร่มไม้ริมทางด้วยดำริว่า  ต่อเพลาตะวันเย็นจึงจะเดินทางต่อไป

ครั้นพระเถระเจ้าพักพอหายเหนื่อย  ก็เห็นอาชีวกผู้หนึ่ง  เดินถือดอกมณฑากั้นศีรษะมาตามทาง  ก็นึกฉงนใจ  ด้วยดอกมณฑานี้  หามีในมนุษย์โลกไม่  เป็นของทิพย์ในสุราลัยเทวโลก  จะตกลงมาเฉพาะในเวลาอันสำคัญ ๆ  คือ  เวลาพระบรมโพธิสัตว์เสด็ลงสู่พระครรภ์  เวลาประสูติ  เวลาเสด็จออกสู่มหาวิเนษกรมณ์  เวลาพระสัมพุทธเจ้าตรัสรู้  เวลาแสดงธรรมจักร  เวลาทำยมกปาฏิหาริย์  เวลาเสด็จลงจากเทวโลก  เวลาปลงอายุสังขาร  และเวลาพระสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เท่านั้น  ไฉนกาลบัดนี้  จึงเกิดมีดอกมณฑาอีกเล่า  ทำให้ปริวิตกถึงพระบรมศาสดา  หรือพระบรมศาสดาจักเสด็จปรินิพพานแล้ว  นึกสงสัยจึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้อาชีวกผู้นั้น  แล้วถามว่า  "ดูกร  อาชีวก  ท่านมาแต่ที่ใด"

"เมืองกุสินารา  พระผู้เป็นเจ้า"

"ท่านยังได้ทราบข่าวคราวพระบรมครูของเราบ้างหรือ  อาชีวก"  พระเถระเจ้าถามสืบไป

"พระสมณโคดม  ครูของท่านนิพพานเสียแล้ว  ได้ ๗ วัน  ถึงวันนี้"  อาชีวกกล่าว  "ดอกมณฑานี้  เราก็ได้มาแต่เมืองกุสินารา  เนื่องในการนิพพานของพระมหาสมณโคดมพระองค์นั้น"

เมื่อภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชน  ได้ฟังถ้อยคำของอาชีวกบอกเช่นนั้นก็ตกใจ  มีหฤทัยหวั่นไหวด้วยกำลังแห่งโทมนัส  เศร้าโศก  ปริเทวนาการร่ำให้ถึงพระบรมศาสดา  ฝ่ายพระสงฆ์ที่เป็นพระขีณาสพก็เกิดความสังเวชสลดจิต

เวลานั้น  มีภิกษุรูปหนึ่ง  บวชเมื่อภายแก่ ชื่อ  สุภัททะ  เป็นวุฑฒบรรพชิต  มีจิตดื้อด้าน  ด้วยสันดานพาลชน  เป็นอลัชชีมืดมน  ย่อหย่อนในธรรมวินัย  ลุกขึ้นกล่าวห้ามภิกษุว่า  "ท่านทั้งปวง  อย่าร้องไห้ร่ำไรไปเลย  บัดนี้  เราพ้นอำนาจพระมหาสมณะแล้ว  เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ย่อมจู้จี้ เบียดเบียน บังคับบัญชาห้ามปรามเราต่าง ๆ  นานา  ว่าสิ่งนี้ควร  สิ่งนี้ไม่ควร  บัดนี้  พระองค์ปรินิพพานแล้ว  เราปรารถนาจะทำสิ่งใด  ก็จะทำได้ตามใจชอบ  ไม่มีใครบังคับบัญชาห้ามปรามแล้ว"

พระมหากัสสปะเถระเจ้า  ได้ฟังของพระสุภัททะ  กล่าวคำจ้วงจาบพระบรมศาสดาเช่นนั้น  ก็สลดใจยิ่งขึ้น  ดำริว่า  "ดูเถิด  พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานไปเพียง  ๗  วันเท่านั้น  ก็ยังเกิดมีอลัชชี มิจฉาจิต คิดลามก เป็นได้ถึงเช่นนี้  ต่อไปเบื้องหน้า  จะหาผู้คารวะในพระธรรมวินัยไม่ได้  หากไม่คิดหาอุบายแก้ไข ป้องกัน ให้ทันท่วงทีเสียแต่แรก  เราจะพยายามทำสังคยานา  ยกพระธรรมวินัยขึ้นไว้เป็นที่เคารพ  แทนองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จงได้"  พระเถระเจ้าทำไว้ในใจเช่นนั้นแล้ว  ก็กล่าวธรรมกถา  เล้าโลมภิกษุทั้งหลายให้ระงับดับความโศกแล้ว  รีบพาพระสงฆ์บริวารเดินทางไปยังนครกุสินารา  ตรงไปยังมกุฏพันธนเจดีย์

ครั้นถึงยังพระจิตกาธาน  ที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระศพพระบรมศาสดาแล้ว  ก็ทำจีวรเฉวียงบ่า  ประคองอัญชลี  กระทำประทักษิณเวียนพระจิตกาธานสามรอบแล้ว  เข้าสู่ทิศเบื้องพระยุคลบาท  น้อมถวายอภิวาทและตั้งอธิษฐานจิตว่า  "ขอให้พระบรมบาททั้งคู่ของสมเด็จพระบรมครู  ผู้ทรงพระเมตตา  เสด็จไปประทานอุปสมบทแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่ากัสสปะ  ณ  ร่มไม้พหุปุตตนิโครธ  ทั้งยังทรงพระมหากรุณาโปรดพระประทานมหาบังสุกุลจีวรส่วนพระองค์  ให้ข้าพระองค์ได้ร่วมพระพุทธบริโภคโดยเฉพาะ  จงออกจากหีบทองรับอภิวาทแห่งข้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ  ซึ่งตั้งใจมาน้อมถวายคารวะ  ณ  กาลบัดนี้เถิด"

ขณะนั้น  พระบรมบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้แสดงอาการประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  ได้ทำลายคู่ผ้าทุกุลพัสตร์ที่ห่อหุ้มอยู่ทั้ง  ๕๐๐  ชั้น  กับทั้งพระหีบทองออกมาปรากฏในภายนอก  ในลำดับแห่งคำอธิษฐานของพระมหากัสสปะเถระเจ้า  ดุจดวงอาทิตย์ที่แลบออกมาจากกลีบเมฆฉะนั้น  พุทธบริษัททั้งปวงเห็นเป็นอัศจรรย์พร้อมกัน

ทันใดนั้น  พระมหากัสสปะเถระ  ก็ยกมือขึ้นประคองรองรับพระยุคบาทของพระบรมศาสดาขึ้นชูเชิดทูนไว้บนศีรษะ  แล้วก็กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ข้าพระองค์มิได้อยู่ปฏิบัติพระองค์  ไปอยู่เสียในเสนาสนะป่าอรัญญิกาวาส  แม้พระองค์จะทรงพระกรุณาประทานโอกาสว่า  "กัสสปะชราแล้ว  ทรงบังุสุกุลจีวรเนื้อหนา  พาลจะหนัก  จะทรงคหบดีจีวรอันทายกถวายบ้าง  ก็ตามอัธยาศัย  จะอยู่ในสำนักตถาคต  แม้จะทรงมหากรุณาถึงเพียงนี้  กัสสปะก็มิได้อนุวัตรตามพระมหากรุณา  ได้ประมาทพลาดพลั้งถึงดังนี้  ขอภควันตมุนีได้ทรงพระกรุณาโปรดอดโทษานุโทษแก่ข้าพระองค์  อันมีนามว่ากัสสปะ  ณ  กาลบัดนี้"



............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น