วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นิพพาน


เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระโอวาทประทาน  เป็นวาระสุดท้ายเพียงเท่านี้แล้ว  ก็หยุด  มิได้ตรัสอะไรอีกเลย  ทรงทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙  โดยอนุโลมเป็นลำดับดังนี้คือ

          ทรงเข้าปฐมฌาาน                                      ออกจากปฐมฌานแล้ว

          ทรงเข้าทุติยฌาน                                        ออกจากทุติยฌานแล้ว

          ทรงเข้าตติยฌาน                                        ออกจากตติยฌานแล้ว

          ทรงเข้าจตุตถฌาน                                      ออกจากจตุตถฌานแล้ว

          ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ                       ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว

          ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ                         ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว

          ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ                          ออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว

          ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ               ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว

          ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติที่ ๙

สัญญาเวทยิตนิโรธนี้  มีอาการสงบที่สุด  ถึงดับสัญญาและเวทนา  ไม่รู้สึกทั้งกายทั้งใจทุกประการ  แม้ลมหายใจเข้าออกก็หยุดสงบยิ่งกว่านอนหลับ  ผู้ไม่คุ้นเคยกับสมาบัตินี้  อาจคิดเห็นไปว่าตายแล้ว  ดังนั้น  พระอานนท์เถระเจ้าผู้นั่งเฝ้าดูพระอาการอยู่ตลอดทุกระยะ  ได้เกิดวิตกจิตคิดว่า  พระบรมศาสดาคงจะเสด็จนิพพานแล้ว  จึงได้เรียนถามพระอนุรุทธะเถระเจ้า  ผู้เชี่ยวชาญในสมาบัตินี้ว่า  "ข้าแต่ท่านอนุรุทธะ  พระบรมศาสดาเสด็จนิพพานแล้วหรือยัง ?"

"ยัง  ท่านอานนท์  ขณะนี้พระบรมศาสดา  กำลังเสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ"  พระอนุรุทธะบอก

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า  เสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติตามเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว  ก็เสด็จออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ  เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ  ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ  ถอยออกจากสมาบัตินั้น  โดยปฏิโลมเป็นลำดับ  จนถึงปฐมฌาน

ต่อจากนั้น  ก็ออกจากปฐมฌาน  แล้วทรงเข้าทุติยฌาน   อีกวาระหนึ่ง  ออกจากทุิตยฌานแล้ว  ทรงเข้าตติยฌาน  ออกจากติตยฌานแล้ว  ทรงเข้าจจุตถฌาน

เมื่อออกจาจตุตถฌานแล้ว  ก็เสด็จปรินิพพาน  ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขปุรณมี  เพ็ญเดือน ๖  มหามงคลสมัย  ด้วยประการฉะนี้

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว  ก็บังเกิดมหัสจรรย์แผ่นดินไหว  กลองทิพย์ก็บันลือลั่น  กึกก้องสัททสำเนียงเสียงสนั่นในอากาศเป็นมหาโกลาหล  ในปัจฉิมกาล  พร้อมกับขณะเวลาปรินิพพานของสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ผู้เป็นนาถะของโลก

ขณะนั้น  ท้าวสหัมบดีพรหม  ท้าวโกสีย์สักกเทวราช  พระอนุรุทธะเถระเจ้า  และพระอานนท์เถระเจ้า  ได้กล่าวคาถาสรรเสริญพระคุณ ของพระสัมพุทธเจ้า  แสดงความไม่เที่ยงถาวรของสัตว์สังขารทั่วไป  ด้วยความเลื่อมใสและความสลดใจ  ในการปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ผู้เป็นพระบรมศาสดาของมวลเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ขณะนั้น  บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวง  ที่ประชุมอยู่ในอุทยานสาลวันนั้น  ต่างก็เศร้าโศก  ร่ำไร  รำพัน  ปริเทวนาการ  คร่ำครวญถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นที่น่าสลดใจยิ่งนัก  พระอนุรุทธะเถระเจ้าและพระอานนท์เถระเจ้าได้แสดงธรรมีกถาปลุกปลอบ  บรรเทาจิตบริษัทให้เสื่อมสร่างจากความเศร้าโศก ตามควรแก่วิสัยและควรแก่เวลา

ครั้นสว่างแล้ว  พระอนุรุทธะเถระเจ้าก็มีเถระบัญชาให้พระอานนท์  รีบเข้าไปในเมืองกุสินารา  แจ้งข่าวปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคแก่มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย  เมื่อมัลลกษัตริย์ได้สดับข่าวปรินิพพาน  กำสรดโศก  ด้วยความอาลัยในพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกำลัง  จึงดำรัสสั่งให้ประกาศข่าวปรินิพพานแก่ชาวเมืองให้ทั่วนครกุสินารา  แล้วนำเครื่องสักการบูชานานาสุคนธชาติ  พร้อมด้วยผ้าขาว ๕๐๐  พับ  เสด็จไปยังสาลวันที่เสด็จปรินิพพาน  ทำสักการบูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า  ด้วยบุบผามาลัยสุคนธชาติเป็นเอนกประการ

มหาชนเป็นอันมาก  แม้จะอยู่ในที่ไกล  เมื่อได้ทราบข่าวปรินพพานของพระผู้มีพระภาค  ต่างก็ถือนานาสุคนธชาติมาสักการบูชามากมายสุดจะคณนา  เวลาค่ำก็ตามชวาลาสว่างไสวทั่วสาลวัน  ประชาชนต่างพากันมาไม่ขาดสายตลอด ๖  วัน  ไม่มีหยุด  พากันรีบรุดมาทำสักการบูชาด้วยความเลื่อมใส  ถวายความเคารพอันสูงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

......................

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น