วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เสด็จเมืองกบิลพัสตุ์ (ตอนที่ ๑)


ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะ  พระพุทธบิดา ณ พระนครกบิลพัสตุ์  เมื่อได้ทรงทราบพระเกียรติคุณของพระสัมพุทธเจ้าฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ  ก็ทรงปีติโสมนัส  ที่พระโอรสของพระองค์ได้สำเร็จพระสัมโพธิญาณ  สมดังคำพยายากรณ์ของท่านอาจารย์อสิตดาบส  และพราหมณาจารย์ทั้ง ๘ คน  ทรงตั้งพระทัยคอยเวลาอยู่ว่า  เมื่อใดพระสัมพุทธเจ้าจึงจะเสด็จไปนครกบิลพัสตุ์

ครั้นไม่ได้ข่าววี่แววมาเลยว่า  พระสัมพุทธเจ้าจะเสด็จ  ก็ทรงร้อนพระทัย  ปรารถนาจะให้พระสัมพุทธเจ้าเสด็จพระนครกบิลพัสตุ์  จึงทรงส่งอำมาตย์พร้อมด้วยบริวารคณะหนึ่ง  ให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังเวฬุวันวิหาร  กราบทูลอาราธนาให้เสด็จยังพระนครกบิลพัสตุ์  ครั้นเมื่ออำมาตย์และบริวารคณะนั้นเดินทางจากพระนครกบิลพัตสุ์  ถึงพระนครราชคฤห์  อันมีระยะทาง ๖๐ โยชน์  ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  ในเวลาที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่  ได้โอกาสฟังธรรมด้วย  ครั้นฟังธรรมแล้วได้บรรลุพระอรหัตต์ทั้งคณะ  ทูลขออุปสมบทเป็นภิกษูในพระพุทธศาสนา  ไม่ได้มีโอกาสที่จะกราบทูลความตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงบัญชามา

ครั้นล่วงมาหลายเวลา  พระเจ้าสุทโธทนะเห็นอำมาตย์คณะนั้นหายไป  ก็ทรงส่งอำมาตย์คณะใหม่ออกติดตาม  และกราบทูลความประสงค์ของพระองค์  อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จ  แม้อำมาตย์ราชทูตคณะนี้ก็ได้ฟังธรรมบรรลุมรรผล  และได้อุปสมบทในพระศาสนเช่นอำมาตย์คณะก่อน  พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งอำมาตย์  ไปอาราธนาไม่เป็นผลสมพระทัยดังนี้ถึง  ๙ ครั้ง  ครั้งสุดท้ายทรงน้อยพระทัยรับสั่งเรื่องนี้แก่กาฬุทายีอำมาตย์ผู้ใหญ่  ขอมอบเรื่องให้กาฬุทายีอำมาตย์ ช่วยจัดให้สมพระประสงค์ ด้วยทรงเห็นว่ากาฬุทายีเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ที่สนิทสนม  เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระสัมพุทธเจ้ามาแต่ก่อน  ทั้งเป็นสหชาติของพระบรมศาสดาด้วย

กาฬุทายีรับสนองพระบัญชาพระจ้าสุทโธทนะว่า  จะพยายามกราบทูลเชิญเสด็จ ให้สมพระราชประสงค์ให้จงได้  แต่ได้กราบทูลลาอุปสมบทด้วย  เพราะแน่ใจว่า  ตนควรจะได้อุปสมบทในสมัยที่เป็นโอกาสอันดีงามเช่นนี้  แล้วพระเจ้าสุทโธทนะจำต้องพระราชทานให้กาฬุทายี  ตามที่ทูลขอด้วยความเสียดาย  หากแต่ดีพระทัยว่า  กาฬุทายีอำมาตย์จะได้ทูลอัญเชิญเสด็จพระสัมพุทธเจ้าให้สมประสงค์

ครั้นกาฬุทายีอำมาตย์  พร้อมด้วยบริวาร  เดินทางมาถึงพระนครราชคฤห์  ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังพระเวฬุวันวิหาร  ได้สดับพระธรรมเทศนาบรรลุพระอรหัตต์พร้อมด้วยบริวาร  แล้วทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุด้วยกันสิ้น  เมื่อพระกาฬุทายีเถรบวชแล้วได้  ๘  วัน  ก็พอสิ้นเหมันตฤดู  จะย่างขึ้นฤดูคิมหันต์  ถึงวันผคุณมาสปุรณมี  คืนวันเพ็ยเดือน  ๔  พอดี (นับแต่เสด็จจากป่าอิสิปตนมิคทายวัน ถึงวันนี้  เป็นเวลา ๔ เดือน  คืออยู่ทรมานอุรุเวลกัสสสปะ ที่อุรุเวลาเสนานิคม ๒ เดือน  อยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน ๒ เดือน)

พระเถรเจ้ากาาฬุทายีจึงดำริว่า  พรุ่งนี้ก็เป็นเวลาย่างเข้าฤดูร้อน  บรรดาเหล่าชาวกสิกรทั้งหลายก็เก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ  มรรคที่จะเสด็จไปสู่นครกบิลพัสตุ์ก็สะดวกสบาย  พฤกษชาติที่เกิดเรี่ยรายอยู่ริมทางก็ให้ความร่มเย็นเป็นอย่างดี  สมควรที่พระชินศรีบรมศาสดาจะสเด็จดำเนินไปกรุงกบุลพัสตุ์  แสดงธรรมโปรดพระมหากษัตริย์สุทโธทนะพระพุทธบิดา  ตลอดพระบรมวงศานุวงศ์ศากยราช  ดำริแล้วพระเถรเจ้าก็เข้าเฝ้าพระบรมโลกนาถยังพระคันธกุฎี  ทูลสรรเสริญมรรคาทางไปกบิลพัสตุ์บุรี  ก็มีร่มไม้ได้พักร้อนเป็นที่รื่นรมย์ตลอดระยะทาง ๖๐ โยชน์  หากพระองค์จะทรงบำเพ็ญปรหิตประโยชน์  โปรดพระประยูรญาติยังกบิลพัสตุ์นคร  ก็จะเป็นที่สำราญพระกายไม่ต้องรีบร้อนยามเสด็จพระพุทธลีลา  ตลอดพระสงฆ์สาวกที่จะติดตามพระบาทา  ก็จะไม่ลำบากด้วยน้ำท่าและกระยาหาร  ด้วยตามระยะทางมีโคจรคามเป็นภิกษาจารตลอดสาย

                                                             
                               ------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น