ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ณ พระนครกบิลพัสตุ์ เมื่อได้ทรงทราบพระเกียรติคุณของพระสัมพุทธเจ้าฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ ก็ทรงปีติโสมนัส ที่พระโอรสของพระองค์ได้สำเร็จพระสัมโพธิญาณ สมดังคำพยายากรณ์ของท่านอาจารย์อสิตดาบส และพราหมณาจารย์ทั้ง ๘ คน ทรงตั้งพระทัยคอยเวลาอยู่ว่า เมื่อใดพระสัมพุทธเจ้าจึงจะเสด็จไปนครกบิลพัสตุ์
ครั้นไม่ได้ข่าววี่แววมาเลยว่า พระสัมพุทธเจ้าจะเสด็จ ก็ทรงร้อนพระทัย ปรารถนาจะให้พระสัมพุทธเจ้าเสด็จพระนครกบิลพัสตุ์ จึงทรงส่งอำมาตย์พร้อมด้วยบริวารคณะหนึ่ง ให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังเวฬุวันวิหาร กราบทูลอาราธนาให้เสด็จยังพระนครกบิลพัสตุ์ ครั้นเมื่ออำมาตย์และบริวารคณะนั้นเดินทางจากพระนครกบิลพัตสุ์ ถึงพระนครราชคฤห์ อันมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ ได้โอกาสฟังธรรมด้วย ครั้นฟังธรรมแล้วได้บรรลุพระอรหัตต์ทั้งคณะ ทูลขออุปสมบทเป็นภิกษูในพระพุทธศาสนา ไม่ได้มีโอกาสที่จะกราบทูลความตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงบัญชามา
ครั้นล่วงมาหลายเวลา พระเจ้าสุทโธทนะเห็นอำมาตย์คณะนั้นหายไป ก็ทรงส่งอำมาตย์คณะใหม่ออกติดตาม และกราบทูลความประสงค์ของพระองค์ อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จ แม้อำมาตย์ราชทูตคณะนี้ก็ได้ฟังธรรมบรรลุมรรผล และได้อุปสมบทในพระศาสนเช่นอำมาตย์คณะก่อน พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งอำมาตย์ ไปอาราธนาไม่เป็นผลสมพระทัยดังนี้ถึง ๙ ครั้ง ครั้งสุดท้ายทรงน้อยพระทัยรับสั่งเรื่องนี้แก่กาฬุทายีอำมาตย์ผู้ใหญ่ ขอมอบเรื่องให้กาฬุทายีอำมาตย์ ช่วยจัดให้สมพระประสงค์ ด้วยทรงเห็นว่ากาฬุทายีเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ที่สนิทสนม เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระสัมพุทธเจ้ามาแต่ก่อน ทั้งเป็นสหชาติของพระบรมศาสดาด้วย
กาฬุทายีรับสนองพระบัญชาพระจ้าสุทโธทนะว่า จะพยายามกราบทูลเชิญเสด็จ ให้สมพระราชประสงค์ให้จงได้ แต่ได้กราบทูลลาอุปสมบทด้วย เพราะแน่ใจว่า ตนควรจะได้อุปสมบทในสมัยที่เป็นโอกาสอันดีงามเช่นนี้ แล้วพระเจ้าสุทโธทนะจำต้องพระราชทานให้กาฬุทายี ตามที่ทูลขอด้วยความเสียดาย หากแต่ดีพระทัยว่า กาฬุทายีอำมาตย์จะได้ทูลอัญเชิญเสด็จพระสัมพุทธเจ้าให้สมประสงค์
ครั้นกาฬุทายีอำมาตย์ พร้อมด้วยบริวาร เดินทางมาถึงพระนครราชคฤห์ ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังพระเวฬุวันวิหาร ได้สดับพระธรรมเทศนาบรรลุพระอรหัตต์พร้อมด้วยบริวาร แล้วทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุด้วยกันสิ้น เมื่อพระกาฬุทายีเถรบวชแล้วได้ ๘ วัน ก็พอสิ้นเหมันตฤดู จะย่างขึ้นฤดูคิมหันต์ ถึงวันผคุณมาสปุรณมี คืนวันเพ็ยเดือน ๔ พอดี (นับแต่เสด็จจากป่าอิสิปตนมิคทายวัน ถึงวันนี้ เป็นเวลา ๔ เดือน คืออยู่ทรมานอุรุเวลกัสสสปะ ที่อุรุเวลาเสนานิคม ๒ เดือน อยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน ๒ เดือน)
พระเถรเจ้ากาาฬุทายีจึงดำริว่า พรุ่งนี้ก็เป็นเวลาย่างเข้าฤดูร้อน บรรดาเหล่าชาวกสิกรทั้งหลายก็เก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ มรรคที่จะเสด็จไปสู่นครกบิลพัสตุ์ก็สะดวกสบาย พฤกษชาติที่เกิดเรี่ยรายอยู่ริมทางก็ให้ความร่มเย็นเป็นอย่างดี สมควรที่พระชินศรีบรมศาสดาจะสเด็จดำเนินไปกรุงกบุลพัสตุ์ แสดงธรรมโปรดพระมหากษัตริย์สุทโธทนะพระพุทธบิดา ตลอดพระบรมวงศานุวงศ์ศากยราช ดำริแล้วพระเถรเจ้าก็เข้าเฝ้าพระบรมโลกนาถยังพระคันธกุฎี ทูลสรรเสริญมรรคาทางไปกบิลพัสตุ์บุรี ก็มีร่มไม้ได้พักร้อนเป็นที่รื่นรมย์ตลอดระยะทาง ๖๐ โยชน์ หากพระองค์จะทรงบำเพ็ญปรหิตประโยชน์ โปรดพระประยูรญาติยังกบิลพัสตุ์นคร ก็จะเป็นที่สำราญพระกายไม่ต้องรีบร้อนยามเสด็จพระพุทธลีลา ตลอดพระสงฆ์สาวกที่จะติดตามพระบาทา ก็จะไม่ลำบากด้วยน้ำท่าและกระยาหาร ด้วยตามระยะทางมีโคจรคามเป็นภิกษาจารตลอดสาย
------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น