วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โปรดพระนางพิมพาเทวี (ตอนที่ ๑)


                 
พระเจ้าสุทโธทนะกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  พระนางพิมพาเทวีเป็นชนปทกัลยาณี  มีความจงรักภักดีต่อพรระองค์  สุดจะหาสตรีที่ใดเสมอได้  นับแต่พระองค์เสด็จจากพระนครไป  สิ่งอันใดที่ก่อให้เกิดราคี  เสื่อมศรีเสียเกียรติยศแล้ว  พระนางจะห่างไกลไม่กระทำ  เฝ้าแต่รำพันถึงคุณสมบัติของพระองค์  แล้วก็โศกเศร้าอาดูร  มิได้ใส่ใจในถ้อยคำของผู้ใด จะช่วยแนะนำให้บรรเทาความเศร้าโศก  ไม่สนใจในการตกแต่งกายทุกอย่าง  เลิกเครื่องสำอางทุกชนิด  เมื่อได้ทราบว่าพระองค์ทรงผ้ากาสาวพัสตร์  พระนางก็จัดหาผ้ากาสาวพัสตร์มาใช้ตามพระองค์  ตลอดจนทุกวันนี้ได้ทราบข่าวว่า พระองค์อดพระกระยาหารทรมานกาย  พระนางก็พอใจอดพระกระยาหารตามเสด็จตลอดเวลา  จะหาสตรีที่มีความจงรักภักดีเช่นนี้เห็นสุดหา"


 "อนึ่ง  นับแต่พระองค์เสด็จมาสู่พระนิเวศน์เข้า ๓ วันนี้  พระนางพิมพาก็มิได้มาเฝ้า  เศร้าโศกอยู่แต่ในห้องผทม  ตั้งใจอยู่ว่าพระองค์คงจะเสด็จเข้าไปหายังห้องที่เคยเสด็จประทับในกาลก่อน  หากพระองค์จะไม่เสด็จไปยังห้องของพระนางแล้ว  พระนางคงจะเสียพระทัยถึงแก่วายชีวิตเป็นแน่แท้  หม่อมฉันขออาราธนาพะองค์เสด็จไปโปรดพระนางพิมพาเทวี  ขอให้ทรงพระกรุณาประทานชีวิตแก่พระนาง  ผู้มีความจงรักภักดีในครั้งนี้ด้วยเถิด"
            
                       
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า  "ดูกรพระราชสมภาร  อันพระนางพิมพาเทวีมาดาราหุลกุมาร  มีความจงรักภักดีต่อตถาคต  สมจริงดังพระองค์รับสั่งทุกประการ และก็สมควรที่ตถาคตจะไปอนุเคราะห์พระนางให้สมมโนรถ  เพื่อบรรเทาความกำสรดเศร้าโศก  ให้ได้รับความสดชื่น  สุขใจในอมตธรรมตามควรแก่วาสนา  ด้วยพระนางมีคุณแก่ตถาคตมามากยิ่งนัก  ในอดีตกาลได้ช่วยตถาคตบำเพ็ญมหาทานบารมีมากกว่าแสนชาติ"  ครั้นแล้วก็รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายรออยู่ที่ปราสาทราชนิเวศน์  ให้ตามเสด็จแต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะอัครสาวก ๒ องค์  เป็นปัจฉาสมณะ  แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินไปยังปราสาทของพระนางพิมพาเทวี  พลางมีพระวาจารับสั่งแก่สองอัครสาวกว่า  "มารดาราหุลนี้มีคุณแก่ตถาคตเป็นอันมาก  ผิว่านางจะจับบาทตถาคตลูบคลำสัมผัสและโศกเศร้าอาดูรพิลาปร่ำไห้ ด้วยกำลังเสน่หา  ท่านทั้งสองก็อย่าได้ห้ามปราม  ปล่อยตามอัธยาศัย  ให้พระนางพิไรรำพันปริเทวนาจนกว่าจะสิ้นโศก  ผิว่าไปห้ามเข้านาง  ก็ยิ่งเพิ่มความเศร้าโศกเสียพระทัยถึงชีวิต  ไม่ทันได้สดับพระธรรมเทศานา  ตถาคตยังเป็นหนี้พิมพา  มิได้เปลื้องปลด จะได้แทนทดใช้หนี้แก่พิมพาในกาลบัดนี้"  ครั้นตรัสบอกอัครสาวกทั้งสองแล้ว  ก็เสด็จพระพุทธลีลาเข้าไปในห้องแห่งปราสาท  ขึ้นสถิตบนรัตนบัลลังก์อาสน์อันงามวิจิตร


ฝ่ายนางสนมทั้งหลาย  ครั้นได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จมาประทับอยู่บนปราสาท  จึงรีบไปทูลความแด่พระนางพิมพาว่า  "บัดนี้  พระสิทธัตถะราชสวามีของพระนางเจ้า  ได้เสด็จมาประทับยังห้องแห่งปราสาทของพระนางแล้ว"


เมื่อพระนางพิมพาเทวีทรงสดับ  ก็ลุกจากที่ประทับ  จูงพระราหุลราชโอรส  กลิั้นความกำสรดโศก  แล้วก็เสด็จคลานออกจากพระทวารสถานที่สิริไสยาสน์  ตรงเข้ากอดบาทพระบรมศาสดา  แล้วซบพระเศียรลงถวายนมัสการพลางทรงพิลาปกราบทูลสารว่า  "โทษกระหม่อมฉันนี้มีมากเพราะเป็นหญิงกาลกิณี  พระองค์จึงเสด็จหนีให้อาดูรด้วยเสน่หา  แต่เวลายังดรุณภาพ  พระองค์มิได้ตรัสบอกให้ทราบ  แสร้งทรงสละข้าพระบาทไว้ไม่อาลัย  ดุจก้อนเขฬะบนปลายพระชิวหา  อันถ่มออกจากพระโอษฐ์มิได้โปรดปราน   เสด็จปราศร้างจากนิเวศน์สถานไปบรรพชา  ถึงมาตรว่า  ข้าพระบาทพิมพานี้มีโทษแล้ว  ส่วนพระลูกแก้วราหุลกุมาร  เพิ่งพระสูติจากพระครรภ์ในวันนั้น  ยังมิทันได้รู้ผิดชอบประการใด  นั่นมีโทษสิ่งไรด้วยเล่า  พระผ่านเกล้าจึงแกล้งทอดทิ้งไว้ให้ร้างพระปิตุรงค์


                                    ...................................................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น