วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง (ตอนที่ ๔)


วันหนึ่ง ชฎิลทั้ง ๕๐๐ ปรารถนาจะบูชาเพลิง ก่อเพลิงไม่ติด จึงคิดปริวิตกเหมือนหนหลัง พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้ว  ก็ทรงอนุญาตให้ก่อเพลิงได้  เพลิงก็ติดขึ้นทั้ง ๕๐๐ กอง พร้อมกันในขณะเดียวกัน  ชฎิลทั้งหลายบูชาเพลิงสำเร็จแล้ว  เพลิงก็ไม่ดับ จึงดำริหนหลัง  พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้ว  ก็ทรงอนุญาตให้ดับเพลิง เพลิงก็ดับพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ กอง

วันหึ่ง ในเวลาหนาว  ชฎิลทั้งหลายลงอาบน้ำดำผุดขึ้นลงในแม่น้ำเนรัญชรานที  สมเด็จพระชินศรี ผู้ทรงพระกรุณาแก่ชฎิล  ทรงดำริว่า  เมื่อชฎิลขึ้นจากน้ำแล้วจะหนาวมาก  จึงทรงนิรมิตเชิงกรานประมาณ ๕๐๐ อัน  มีเพลิงติดทั้งสิ้นไว้ในที่นั้น   ครั้นชฎิลทั้งหลายขึ้นจากน้ำหนาวจัด  ก็ชวนกันเข้าผิงไฟที่เชิงกราน แล้วก็คิดสันนิษฐานว่า  พระมหาสมณะคงจะนิรมิตไว้ให้เป็นแน่  น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

วันหนึ่ง  มหาเมฆตั้งขึ้นมิใช่ฤดูกาล  บันดาลให้ฝนตกลงมาเป็นอันมาก  กระแสน้ำเป็นห้วงใหญ่ท่วมไปในที่ทั้งปวงโดยรอบบริเวณนั้น  ธรรมดาว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จอยู่  ณ  ประเทศที่ใด  แม้ที่นั้นน้ำท่วม ก็ทรงอธิษฐานมิให้น้ำท่วมเข้าไปในที่นั้นได้  และในครั้งนั้นก็ทรงดำริว่า  ตถาคตจะยังน้ำนั้นให้เป็นขอบสูงขึ้นไปในทิศโดยรอบ  ที่หว่างกลางน้ำจะมีพื้นที่ภูมิภาคราบเรียบขึ้นปกติ  ตถาคตจะจงกรมอยู่ในที่นั้น แล้วก็อธิษฐานบันดาลให้เป็นดังพุทธดำรัสนั้น

ฝ่ายอุรุเวลกัสสปนั้น  คิดว่า  พระมหาสมณะนี้  น้ำจะท่วมเธอหรือไม่ท่วมประการใด  หรือจะหลีกไปสู่ประเทศอื่น  จึงลงเรือพร้อมกับชฎิลทั้งหลายรีบพายไปดูโดยด่วน  ถึงประเทศที่พระองค์ทรงสถิตก็เห็นน้ำสูงขึ้นเป็นกำแพงล้อมอยู่โดยรอบ  แลเห็นพระบรมศาสดา  เสด็จจงกรมอยู่ในพื้นภูมิภาคปราศจากน้ำ  จึงส่งเสียงร้องเรียก  พระพุทธเจ้าขานรับว่า  "กัสสป ! ตถาคตอยู่ที่นี่"  แล้วก็เสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศ
เลื่อนลอยลงสู่เรือของกัสสปชฎิล  กัสสปชฎิลก็ดำริว่า  พระมหาสมณะนี้มีอิทธิ์ฤทธิ์เป็นอันมาก  แต่ถึงมีอานุภาพมากอย่างนั้น  ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา

แท้จริง  ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จจากป่าอิสิปตนมิคทายวัน  ในวันแรมค่ำหนึ่ง เดือนกัตติกมาส (เดือน ๑๒)  มาประทับอยู่ทีอุรุเวลประเทศ  จนตราบเท่าถึงวันเพ็ญเดือน ๒ เป็นเวลาสองเดือน  ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ทรมานอุรุเวลกัสสป โดยอเนกประการ  อุรุเวลกัสสปก็ยังมีสันดานกระด้าง ถือตนว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อย่างนั้น  ด้วยทิฏฐิอันกล้ายิ่งนัก  จึงทรงพระดำริว่า  ตถาคตจะยังชฎิลให้สลดจิตคิดสังเวชตนเอง  จึงมีพระวาจาตรัสแก่อุรุเวลกัสสปว่า  "กัสสป ! ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์  ทั้งทางปฏิบัติของท่านก็ยังห่างไกลมิใช่ทางมรรคผลอันใด  ไฉนเล่าท่านจึงถือตนว่า เป็นพระอรหันต์ เท็จต่อตัวเองทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็รู้ตัวดีว่า  ตัวยังมิได้บรรลุโมกขธรรมอันใด  ยังทำตนลวงคนอื่นว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อีก  กัสสป ! ถึงเวลาอันควรแล้วที่ท่านจะสารภาพแก่ตัวของท่านเองว่า  ท่านยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งยังมิได้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอรหันต์ด้วย  กัสสป !  แล้วท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ในกาลไม่นาน"  เมื่ออุรุเวลกัสสปได้สดับพระโอวาท  ก็รู้สึกตัวละอายแก่ใจ ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาท แล้วกราบทูลว่า  "ข้าแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ข้าพระองค์ขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระองค์  ขอถึงพระองค์ และพระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง"

พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า  "กัสสป ! ตัวท่านเป็นอาจารย์ยิ่งใหญ่ เป็นประธานแก่หมู่ชฎิล ๕๐๐ ท่านจงชี้แจงให้ชฎิลบริวารยินยอมพร้อมกันก่อน แล้วตถาคตจึงจะยอมให้บรรพชาอุปสมบท"  อุรุเวลกัสสปก็กราบถวายบังคมลามายังอาศรม  แล้วก็บอกชฎิลอันเป็นศิษย์  ศิษย์ก็ยินยอมพร้อมกันจะบรรพชาในสำนักพระบรมครูสิ้น  แล้วชฎิลทั้งหลายก็ชวนกันลอยเครื่องบริขารและเครื่องตกแต่ง ผม ชฎา สาแหรก คาน เครื่องบูชาเพลิง ทั้งน้ำเต้า หนังเสือ ไม้สามง่ามในแม่น้ำทั้งสิ้น แล้วก็พากันมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาท  ทูลขอบรรพชาอุปสมบท  พระบรมศาสดาก็ทรงพระกรุณาโปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิขุอุปสัมปทาเสมอกัน

ครั้งนั้น  ท่านนทีกัสสป ผู้เป็นน้องกลาง เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงลอยน้ำมา ก็ดำริว่า ชะรอยอันตรายจะมีแก่ดาบสผู้พี่  จึงใช้ให้ชฎิลสองสามคนอันเป็นศิษย์ไปสืบดู  รู้เหตุแล้ว  นทีกัสสปดาบสก็พาดาบสทั้ง ๓๐๐ อันเป็นศิษย์มาสู่สำนักของท่านอุรุเวลกัสส ป ถามเหตุนั้น  ครั้นทราบความแล้ว ก็เลื่อมใสชวนกันลอยเครื่องดาบสบริขารลงในแม่น้ำนั้น  พากันเข้าถวายอัญชลีทูลขอบรรพชา  พระบรมศาสดาก็โปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาด้วยกันทั้งสิ้น  ดุจชฎิลพวกก่อนนั้น

ฝ่ายคยากัสสปดาบส ผู้เป็นน้องน้อย เห็นเครื่องดาบสบริขารของพี่ชายลอยน้ำลงมาจำได้  ก็คิดดุจนทีกัสสปชฎิลผู้เป็นพี่นั้น แล้วพาดาบสทั้ง ๒๐๐  อันเป็นศิษย์ไปสู่สำนักพระอุรุเวลกัสสป ไปถามทราบความแล้ว  เลื่อมใสชวนกันลอยเครื่องบริขารลงในกระแสชลดุจหนหลัง  แล้วก็เข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็โปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิขุอุปสัมปทาดังกล่าวแล้ว  พระพุทธเจ้าทรงทรมานชฎิลทั้ง ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น กับทั้งชฎิลบริวาร ๑,๐๐๐ ให้สละเสียซึ่งทิฎฐิแห่งตน
แล้วโปรดประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั้งสิ้น  เสร็จแล้วก็ทรงพาพระภิกษุสงฆ์พวกนั้นไปสู่คยาสีสะประเทศ  ตรัสพระธรรมเทศนา  อาทิตตปริยายสูตร  โปรดภิกษุ ๑,๐๐๐  นั้นให้บรรลุพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น.








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น