วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง (ตอนที่ ๓)


ในกาลนั้น  ผ้าบังสุกุลจีวรบังเกิดแก่พระบรมศาสดา  พระองค์เสด็จพระพุทธดำเนินไปซักผ้าบังสุกุล  ซึ่งห่อศพนางุปุณณทาสี  ที่ทอดทิ้งอยู่ในอามกสุสานะป่าช้าผีดิบ  เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเกษัตริย์อุภโตสุชาติ  เสด็จจากขัตติยราชกุลอันสูงด้วยเกียรติศักดิ์  ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมพุทธเจ้า  เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์  เป็นโมลีของโลกเห็นปานนี้แล้ว  ยังทรงลดพระองค์ลงมาซักผ้าขาวที่ห่อศพนางปุณณทาสี  ที่ทอดทิ้งอยู่ในป่าช้า  เพื่อทรงใช้เป็นผ้าจีวรทรงเช่นนี้  เป็นกรณียะที่สุดวิสัยของเทวดาและมนุษย์ซึ่งอยู่ในสถานะเช่นนั้นจะทำได้  มหาปฐพีใหญ่ก็กัมปนาทหวั่นไหว เป็นมหัศจรรย์ถึง ๓ ครั้ง  ตลอดระยะทางทรงดำริว่า  ตถาคตจะซักผ้าบังสุกุลในที่ใด ?  ขณะนั้น ท้าวสหัสสนัยน์อมรินทราธิราชทรงทราบในพุทธปริวิตก  จึงเสด็จลงมาขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ในพื้นศิลา สำเร็จด้วยเทวฤทธิ์ให้เต็มไปด้วยอุทกวารี  แล้วกราบทูลพระชินศรีให้ทรงซักผ้าบังสุกุลในที่นั้น  ขณะที่ทรงซักก็ทรงพระดำริว่า จะทรงขยำในที่ใดดี  ท้าวโกสีย์ก็นำเอาแผ่นศิลาใหญ่เข้าไปถวาย  ทรงขยำด้วยพระหัตถ์จนหายกลิ่นอสุภ  แล้วก็ทรงพระดำริว่า จะห้อยตากผ้าบังสุกุลจีวรในที่ใดดี  ลำดับนั้น  รุกขเทพยดา  ซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ไม้กุ่มบก  ก็น้อมกิ่งไม้ลงมาถวายให้ทรงห้อยตากจีวร  ครั้นทรงห้อยตากแล้วก็ทรงพระจินตนาว่า  จะแผ่พักผ้าในที่ใด  ท้าวสหัสสนัยน์ก็ยกแผ่นศิลาอันใหญ่มาทูลถวายให้แผ่พักผ้าบังสุกุลนั้น

เพลารุ่งเช้า  อุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระบรมศาสดา  เห็นสระและแผ่นศิลาทั้งสอง  ซึ่งมิได้ปรากฎมีในที่นั้นมาก่อน  และกิ่งไม้กุ่มน้อมลงมาเช่นนั้น  จึงทูลถาม  พระบรมศาสดาตรัสบอกความทั้งปวงให้ทราบ  เมื่อกัสสปได้ฟังก็สะดุ้งตกใจ  ดำริว่า  พระสมณะองค์นี้มีเดชานุภาพมากยิ่งนัก  แม้ท้าวมัฆวานยังลงมากระทำไวยาวัจกิจถวาย  แต่ก็ไม่เป็นพระอรหัน์เหมือนอาตมา

พระบรมศาสดาเสด็จไปเสวยภัตตาหารของชฎิล  แล้วก็กลับมาสถิตยังพนาสณฑ์ตำบลที่อาศัย ครั้นรุ่งขึ้นในวันเป็นลำดับ  กัสสปชฎิลไปทูลนิมนต์ฉันภัตตาหาร  จึงตรัสว่า  "ท่านจงไปก่อนเถิด  ตถาคตจะตามไปภายหลัง"  เมื่อส่งชฎิลไปแล้ว  จึงเสด็จเหาะไปนำเอาผลหว้าใหญ่ประจำทวีป  ในป่าหิมพานต์มาแล้วก็เสด็จมาถึงโรงไฟก่อนหน้าชฎิล  ครั้นชฎิลมาถึงจึงทูลถามว่า  พระองค์มาทางใดจึงถึงก่อน  พระศาสดาจึงตรัสบอกปรัพฤติเหตุแล้วตรัสว่า  "ดูกร  กัสสปผลหว้าประจำทวีปนี้  มีวรรณสัณฐานสุคันธรสเอมโอช  ถ้าท่านปรารถนาจะบริโภคก็เชิญตามปรารถนา"  อุรุเวลกัสสปก็ดำริเห็นอัศจรรย์ดุจหนหลัง ครั้นพระบรมศาสดาทำภัตกิจเสร็จแล้ว  ก็สด็จกลับไปยังพนาสณฑ์ที่สำนัก

ในวันต่อมา  ได้ทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้นอีก ๔ ครั้ง  คือ ทรงส่งอุรุเวลกัสสปมาก่อนแล้ว  เสด็จเหาะไปเก็บผลมะม่วงครั้งหนึ่ง  เก็บผลมะขามป้อมครั้งหนึ่ง  เก็บผลสัมในป่าหิมพานต์ครั้งหนึ่ง  เสด็จขึ้นไปดาวดึงส์เทวโลก นำเอาผลไม้ปาริฉัตตกครั้งหนึ่ง  เสด็จมาถึงก่อน  คอยท่าอุรุเวลกัสสปอยู่ที่โรงไฟ  ให้ชฎิลเห็นเป็นอัศจรรย์ใจทุกครั้ง

วันหนึ่ง  ชฎิลทั้งหลายปรารถนาจะก่อไฟ ก็มิอาจผ่าฟืนออกได้  จึงดำริว่าที่เป็นทั้งนี้  เพราะฤทธิ์พระมหาสมณะทำโดยแท้  พระบรมสาสดาจึงตรัสถาม  ครั้นทราบความแล้วก็ตรัสว่า  ท่านจงผ่าฟืนตามปรารถนาเถิด  ในทันใดนั้นชฎิลก็ผ่าฟืนออกตามประสงค์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น