ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
พราหมณ์ทั้ง ๘ พยากรณ์พระสิทธัตถะราชกุมาร |
ในวันที่ ๕ พระประยูรญาติทั้งหลาย คิดว่าในวันที่ ๕ พวกเราจักโสรจสรงเศียรเกล้าพระโพธิสัตว์ แล้วเฉลิมพระนามแด่พระองค์ดังนี้ แล้วฉาบทาพระราชมณเฑียรด้วยคันธชาติ ๔ ชนิด โปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้หุงข้าวปายาสล้วน ๆ แล้วนิมนต์พราหมณ์ผู้เรียนจบไตรเพทจำนวน ๑๐๘ คนให้นั่งในพระราชมณเฑียร ให้ฉันโภชนะอย่างดี ถวายสักการะมากมายแล้วถามว่า อะไรหนอจักมี แล้วให้ตรวจดูพระลักษณะ
ในบรรดาพราหมณ์ ๑๐๘ คน มีจำนวน ๘ คน ที่เป็นพราหมณ์ผู้เรียนจบทางเวทศาสตร์ทั้ง ๖ พยากรณ์มนต์แล้ว พราหมณ์เหล่านี้คือ พราหมณ์รามะ พราหมณ์ธชะ พราหมณ์ลักขณะ พราหมณ์สุชาติ มันตี พราหมณ์โภชะ พราหมณ์สุยานะ พราหมณ์โกณฑัญญะ พราหมณ์สุทัตตะ
ได้เป็นผู้ตรวจดูพระลักษณะ แม้พระสุบินในวันที่ถือปฏิสนธิ พราหมณ์เหล่านี้แหละ ก็ได้ตรวจดูแล้ว
บรรดาพราหมณ์ทั้ง ๘ นั้น มีจำนวน ๗ คนยกสองนิ้ว พยากรณ์เป็นสองทางว่า ผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ ต่างพากันบอกถึงสมบัติอันมีสิริของพระเจ้าจักรพรรดิ. แต่มาณพชื่อโกณฑัญญะโดยโคตร เด็กกว่าพราหมณ์เหล่านั้นทุกคน พิจารณาดูความสมบูรณ์แห่งพระลักษณะของพระโพธิสัตว์ ชูนิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้น แล้วพยากรณ์อย่างเดียวว่า พระโพธิสัตว์นี้ไม่มีเหตุที่จะดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน จักได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงปราศจากกิเลส ประดุจหลังคาโดยส่วนเดียวเท่านั้น. จริงอยู่โกณฑัญญะพราหมณ์นี้ เป็นผู้สร้างความดียิ่งมาแล้ว เป็นสัตว์ที่จะเกิดเป็นภพสุดท้าย มีปัญญาเหนือกว่าคนทั้ง ๗ ได้เห็นคติเดียวเท่านั้นว่า สำหรับผู้ที่ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ ไม่มีฐานะที่จะดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน จักต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น เขาจึงชูนิ้วขึ้นนิ้วเดียว แล้วพยากรณ์อย่างเดียว.
ต่อมา พวกพราหมณ์เหล่านั้น กลับไปยังเรือนของตน แล้วต่างพากันเรียกบุตรมาบอกว่า นี่แน่ะพ่อทั้งหลาย พวกเราแก่แล้วจะทันได้เห็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณหรือไม่ก็ไม่รู้ พวกเจ้าเมื่อพระราชกุมารนี้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พึงบวชในศาสนของพระองค์เถิด โกณฑัญญะมาณพเท่านั้น ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ (ยังมีชีวิตอยู่). เมื่อพระมหาสัตว์เติบโตเจริญวัยขึ้นแล้ว เสด็จออกพระมหาภิเนษกรมณ์ เสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศตามลำดับ ทรงเกิดพระดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ สถานที่นี้เหมาะที่จะบำเพ็ญเพียร สำหรับกุลบุตรผู้มีความต้องการความเพียร ดังนี้แล้วเสด็จเข้าจำพรรษา ณ ที่นั้น เขาได้ฟังข่าวว่าพระมหาบุรุษทรงผนวชแล้ว จึงเข้าไปหาบุตรของพราหมณ์เหล่านั้น พูดอย่างนี้ว่า ได้ทราบข่าวว่า พระสิทธัตถกุมารทรงผนวชแล้ว พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย ถ้าบิดาของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาพึงออกบวชในวันนี้แน่ หากพวกท่านพึงต้องการเช่นนั้นบ้าง มาซิ เราจักบวชตามพระมหาบุรุษนั้น พวกเขาทุกคนไม่สามาถที่จะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์กันได้. สามคนไม่บวช. สี่คนนอกนี้บวช ตั้งให้โกณฑัญญะพราหมณ์เป็นหัวหน้า ชนทั้ง ๕ คนเหล่านั้น จึงได้มีชื่อว่า พระปัญจวัคคีย์เถระ.
ก็ในกาลนั้น พระราชาตรัสถามว่า บุตรของเราเห็นอะไรจึงจักบวช พวกอำมาตย์กราบทูลว่า บุพนิมิต ๔ (ลางบอกเหตุล่วงหน้า). ตรัสถามว่าอะไรบ้าง ๆ กราบทูลว่า คนแก่เพราะชรา คนเจ็บป่วย คนตาย บรรพชิต พระราชาตรัสว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกท่านอย่าได้ให้นิมิตเห็นปานนี้เข้าไปสำนักแห่งบุตรของเรา เราไม่ต้องการให้บุตรของเราเป็นพระพุทธเจ้า เราต้องการอยากจะเห็นบุตรของเรา ครอบครองราชสมบัติที่เป็นใหญ่และปกครองทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปเล็กสองหมื่นเป็นบริวาร ห้อมล้อมไปด้วยบริษัท มีปริมณฑลได้สามสิบหกโยชน์ ท่องเที่ยวไปในพื้นนภากาศ. ก็แล เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงมีรับสั่งให้วางอารักขาไว้ในที่ทุก ๆ คาวุต ในทิศทั้งสี่ เพื่อที่จะห้ามมิให้บริษัท ๔ ประการเหล่านั้น เข้ามายังคลองจักษุของพระกุมาร ก็ในวันนั้น เมื่อตระกูลพระญาติแปดหมื่นประชุมกันในที่มงคลสถาน พระญาติแต่ละพระองค์ต่างยินยอมยกบุตรให้ แต่ละคนว่า พระสิทธัตถะนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระราชาก็ตาม พวกเราจักให้บุตรคนละคน แม้ถ้าจักเป็นพระพุทธเจ้า ก็จักมีสมณกษัตริย์ให้เกียรติและห้อมล้อม แม้ถ้าเป็นพระราชา ก็จักมีขัตติยกุมารให้เกียรติและห้อมล้อม เที่ยวไป. ฝ่ายพระราชาก็ทรงตั้งนางนม ล้วนมีรูปทรงชั้นเยี่ยม ปราศจากสรรพโทษทุกประการแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงเจริญวัยด้วยบริวารอเนกอนันต์ ด้วยส่วนแห่งความงามอันยิ่งใหญ่
ทรงนั่งขัดสมาธิ ทำปฐมฌานให้เกิดขึ้น |
ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาได้มีพระราชพิธีวัปปมงคล (แรกนาขวัญ) วันนั้น พวกชาวนครต่างประดับประดา พระนครทุกหนทุกแห่งดุจดังเทพวิมาน เหล่าพวกทาสและกรรมกรทั้งหมด ต่างานุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับประดาตัวด้ยของหอมและดอกไม้ ประชุมกันในราชตระกูล. ในพระราชพิธีมีการเทียมไถถึงพันคัน ก็ในวันนั้น ไถ ๑๐๘ อันหย่อนหนึ่งคัน (๑๐๗ คัน) หุ้มด้วยเงินพร้อมด้วยโคผู้ ตะพายและเชือก. ส่วนที่งอนพระนังคัลของพระราชาหุ้มด้วยทองคำสุกปลั่ง. เขาของโคผู้ ตะพายเชือกและปฏักก็หุ้มด้วยทองคำทั้งนั้น. พระราชาทรงพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เสด็จออกจากพระนครทรงพาพระราชโอรสไปด้วย. ในที่ประกอบพระราชพิธี มีต้นหว้าอยู่ต้นหนึ่ง มีใบหนาแน่น มีเงาทึบ. ภายใต้ต้นหว้านั้นนั่นแหละ พระราชาทรงรับสั่งให้ปูลาดพระแท่นบรรทมของพระราชโอรส เบื้องบนให้ผูกเพดานปักด้วยดาวทองคำ ให้แวดวงด้วยปราการพระวิสูตร วางอารักขา ส่วนพระองค์ก็ทรงประดับประดาด้วยเครื่องสรรพอลงกรณ์ มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ได้เสด็จไปยังที่จรดพระนังคัล ในที่นั้น พระราชาทรงถือพระนังคัลทองคำ พวกอำมาตย์ถือคันไถเงิน ๑๐๗ คัน พวกชาวนาต่างพากันถือคันไถที่เหลือ. เขาเหล่านั้นต่างถือคันไถ ไถไปข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง. แต่พระราชาทรงไถไปจากด้านในสู่ด้านนอก จากด้านนอกสู่ด้านใน. ในที่นั้นมีมหาสมบัติ. นางนมที่นั่งห้อมล้อมพระโพธิสัตว์อยู่ ต่างพากันออกมาข้างนอก จากภายในพระวิสูตรด้วยคิดว่า พวกเราจะดูสมบัติของพระราชา. พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรดูข้างโน้นและข้างนี้ ไม่ทรงเห็นใครจึงเสด็จลุกขึ้นโดยเร็ว ทรงนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก ทำปฐมฌานให้เกิดขึ้นแล้ว. พวกนางนมพากันเที่ยวไปในระหว่างเวลากินอาหาร ชักช้าไปหน่อยหนึ่ง. เงาของต้นไม้ที่เหลือชายไป ส่วนเงาของต้นไม้นั้นตั้งเป็นปริมณฑลตรงอยู่. พวกนางนมคิดได้ว่า พระลูกเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียว จึงรีบเปิดพระวิสูตรขึ้น เข้าไปข้างในเห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิบนแท่นบรรทม และปาฏิหาริย์นั้น จึงไปกราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระราชกุมารประทับนั่งอย่างนี้ เงาของต้นไม้เหล่าอื่นชายไป ของต้นหว้าตั้งเป็นปริมณฑลตรงอยู่อย่างานี้. พระราชารีบเสด็จมา ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์จึงตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ นี้เป็นการไหว้เจ้าครั้งที่สอง แล้วทรงไหว้ลูก.
...................................................
ขอขอบพระคุณเจ้าของรูปภาพพุทธประวัติด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น