วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พระโพธิสัตว์ทรงเสวยมหาสมบัติ



ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์นั้น



ต่อมา พระโพธิสัตว์มีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษาโดยลำดับ  พระราชาทรงมีรับสั่งให้สร้างปราสาทสามหลัง เหมาะสมกับสามฤดู  คือ  หลังหนึ่งมี ๙ ชั้น  หลังหนึ่งมี ๗ ชั้น  หลังหนึ่งมี ๕ ชั้น  แล้วหห้จัดหญิงฟ้อนรำไว้สี่หมื่นคน  พระโพธิสัตว์มีหญิงฟ้อนรำแต่งตัวสวยห้อมล้อมอยู่  ประหนึ่งเทพเจ้าผู้ห้อมล้อมอยู่ด้วยนางอัปสร  ฉะนั้น ถูกบำเรออยู่ด้วยดนตรี  ไม่มีบุรุษเลย  ทรงเสวยสมบัติใหญ่  ประทับอยู่ในปราสาทเหล่านั้นตามคราวแห่งฤดู.  ส่วนพระราหุลมารดาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์.  เมื่อพระองค์เสวยมหาสมบัติอยู่  วันหนึ่งได้มีการพูดกันขึ้นในระหว่างหมู่พระญาติอย่างนี้ว่า  พระสิทธัตถะทรงขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น  มิได้ทรงศึกษาศิลปะใด ๆ เลย  เมื่อเกิดสงครามขึ้นจักทำอย่างไรกัน.  พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มา  แล้วตรัสว่า  นี่แน่ะพ่อ  พวกญาติ ๆ ของลูกพูดกันว่า
พระสิทธัตถะมิได้ศึกษาศิลปะใด ๆ เลย  เที่ยวขวนขวายแต่การเล่น  ดังนี้ ลูกจะเห็นว่าถึงกาลอันควรหรือยัง  พระโพธิสัตว์ทูลว่า  ข้าแต่สมมติเทพ  ข้าพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปะ  ขอพระองค์ได้โปรดให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระนคร  เพื่อให้มาดูการแสดงศิลปะของข้าพระองค์  แต่นี้อีก ๗ วันข้าพระองค์ก็จักแสดงศิลปแก่พระญาติทั้งหลาย.  พระราชาได้ทรงกระทำตามเช่นนั้น.  พระโพธิสัตว์รับสั่งให้ประชุมเหล่านายขมังธนูที่สามารถยิงได้ดังสายฟ้าแลบ  ยิงขนหางสัตว์ได้  ยิงต้านลูกศรได้  ยิงตามเสียงได้  และยิงลูกศรตามลูกศรได้  แล้วได้ทรงแสดงศิลปะ ๑๒ อย่าง  ที่พวกนายขมังธนูเหล่าอื่นไม่มีแก่พระญาติทั้งหลาย  ในท่ามกลางมหาชน  ข้อนั้นพึงทราบตามนัยที่มีมาในสรภังคชาดกนั้นเถิด  ในคราวนั้น  หมู่พระญาติของพระองค์ได้หมดพระทัยสงสัยเสียแล้ว.




ต่อมาวันหนึ่ง  พระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะเสด็จยังภูมิภาคในพระอุทยาน จึงตรัสเรียกสารถีมาตรัสว่า  จงเทียมรถ  เขารับพระดำรัสว่าดีแล้ว  จึงประดับประดารถชั้นดีที่สุด  มีค่ามากด้วยเครื่องอลังการทุกชนิด เทียมม้าสินธพอันเป็นมงคล  ซึ่งมีสีดุจกลีบดอกบัวขาว ๕ ตัว  เสร็จแล้วไปทูลบอกแด่พระโพธิสัตว์  พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันเป็นเช่นกับเทววิมาน  ทรงบ่ายพระพักตร์สู่พรอุทยาน  เทวดาทั้งหลายคิดว่า  กาลที่จะตรัสรู้ของพระสิทธัตถะราชกุมารใกล้เข้ามาแล้ว  พวกเราจักแสดงบุพนิมิต  แล้วแสดงเทวบุตรคนหนึ่ง ทำให้เป็นคนแก่หง่อม  มีฟันหัก  มีผมหงอก  มีหลังโกงดุจกลอนเรือน  มีตัวโค้งลง มีมือถือไม้เท้า เดินงก ๆ เงิ่น ๆ อยู่  พระโพธิสัตว์และสารถีได้ทอดพระเนตรเห็นและแลเห็นภาพนั้น.  ทีนั้นพระโพธิสัตว์ตรัสถาม ตามในที่มีมาในอุปาทานนั่นแหละว่า  นี่แน่ะสหายผู้เจริญ ชายคนนี้ชื่ออะไรกันนะ  แม้แต่ผมของเขาก็ไม่เหมือนของผู้อื่นดังนี้  ทรงสดับคำของสารถีแล้ว  ทรงมีพระทัยสังเวชว่า  นี่แน่ะผู้เจริญ  น่าติเตียนจริงหนอความเกิดนี้  ความแก่จักต้องปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดแล้วอย่างแน่นอน   ดังนี้แล้ว  เสด็จกลับจากพระอุทยาน  เสด็จขึ้นสู่ปราสาททีเดียว  พระราชาตรัสถามว่า  เพราะเหตุไรบุตรของเราจึงกลับเร็วนัก  พวกอำมาตย์ทูลว่า  เพราะทอดพระเนตรเห็นคนแก่  พระเจ้าข้า  พระราชาตรัสว่า  พวกเจ้าพูดว่า  ลูกของเราเห็นคนแก่แล้วจักบวช  เพราะเหตุไร  จึงทำลายเราเสียเล่า  จงรีบจัดหาละครมาแสดงแก่บุตรของเรา  เธอเสวยสมบัติอยู่จักไม่ระลึกถึงการบรรพชา  แล้วให้เพิ่มอารักขามากขึ้น  วางไว้ทุก ๆ ครึ่งโยชน์ในทุกทิศ.





ในวันรุ่ง พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปยังพระอุทธยานเหมือนเดิม  ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บที่เทวดาเนรมิตขึ้น  จึงตรัสถามโดยนัยก่อนนั้่นแหละ ทรงมีพระหฤทัยสังเวช  แล้วกลับสู่ปราสาท.  ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถาม  แล้วทรงจัดแจงตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ  ทรงวางอารักขาเพิ่มขึ้นอีก  ในที่มีประมาณ ๓ คาพยุตโดยรอบ.   ต่อมาอีกวันหนึ่งพระโพธิสัตว์เสด็จไปยังพระอุทธยานเหมือนเดิม  ทอดพระเนตรเห็นคนตายที่เทวดาเนรมิตขึ้น  ตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ  มี        พระหฤทัยสังเวช  แล้วเสด็จกลับสู่ปราสาทอีก
กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ  ทรงวางอารักขาเพิ่มขึ้นอีก ในที่ประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ.   ก็ในวันหนึ่งต่อมาอีก  พระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่พระอุทธยาน  ได้ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิตนุ่งห่มเรียบร้อย  มีเทวดาเนรมิตขึ้นเช่นเดิมนั่นแหละ  จึงตรัสถาม
ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถาม  แล้วทรงจัดแจงตามนัยที่สารถีว่า  นี่แน่ะเพื่อน  คนนั้นเขาเรียกชื่ออะไรนะ




สารถีไม่ทราบถึงบรรพชิตหรือคนที่ทำให้เป็นบรรพชิตเลย  เพราะไม่มีการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าก็จริง  แต่ด้วยอานุภาพแห่งเทวดา จึงกราบทูลว่า  คนนั้นเขาเรียกชื่อว่าบรรพชิตพระเจ้าข้า   แล้วพรรณนาคุณแห่งการบวช  พระโพธิสัตว์ให้รู้สึกเกิดความพอพระทัยในบรรพชิต

ได้เสด็จไปยังพระอุทธยานในวันนั้น.  แต่ท่านผู้กล่าวทีฆนิกาย กล่าวว่า  พระโพธิสัตว์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง  ๔  ในวันเดียวเท่านั้น  พระโพธิสัตว์เสด็จเที่ยวเตร่ตลอดวัน  ทรงสระสนานในสระโบกขรณีอันเป็นมงคล  เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว  ประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล  มีพระประสงค์จะประดับประดาพระองค์  ทีนั้นพวกบริจาริกาของพระองค์ พากันถือผ้ามีสีต่าง ๆ เครื่องอาภรณ์ต่างชนิดมากมาย  และดอกไม้ของหอม  เครื่องลูกไล้  มายืนห้อมล้อมอยู่โดยรอบ   ในขณะนั้น อาสนะที่ประทับนั่งของท้าวสักกะได้เกิดร้อนขึ้นแล้ว  ท้าวเธอทรงใคร่ครวญดูว่า  ใครหนอมีประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่นี้  ทอดพระเนตรเห็นกาลที่จะต้องประดับประดาพระโพธิสัตว์  จึงทรงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสว่า  ดูก่อนวิสสุกรรมผู้สหาย  วันนี้สิทธัตถะราชกุมารจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมน์ในเวลาเที่ยงคืน


                                           ...................................................

ขอขอบพระคุณเจ้าของรูปภาพพุทธประวัติด้วยค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น