ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
ต่อมา พระโพธิสัตว์มีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษาโดยลำดับ พระราชาทรงมีรับสั่งให้สร้างปราสาทสามหลัง เหมาะสมกับสามฤดู คือ หลังหนึ่งมี ๙ ชั้น หลังหนึ่งมี ๗ ชั้น หลังหนึ่งมี ๕ ชั้น แล้วหห้จัดหญิงฟ้อนรำไว้สี่หมื่นคน พระโพธิสัตว์มีหญิงฟ้อนรำแต่งตัวสวยห้อมล้อมอยู่ ประหนึ่งเทพเจ้าผู้ห้อมล้อมอยู่ด้วยนางอัปสร ฉะนั้น ถูกบำเรออยู่ด้วยดนตรี ไม่มีบุรุษเลย ทรงเสวยสมบัติใหญ่ ประทับอยู่ในปราสาทเหล่านั้นตามคราวแห่งฤดู. ส่วนพระราหุลมารดาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์. เมื่อพระองค์เสวยมหาสมบัติอยู่ วันหนึ่งได้มีการพูดกันขึ้นในระหว่างหมู่พระญาติอย่างนี้ว่า พระสิทธัตถะทรงขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น มิได้ทรงศึกษาศิลปะใด ๆ เลย เมื่อเกิดสงครามขึ้นจักทำอย่างไรกัน. พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มา แล้วตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ พวกญาติ ๆ ของลูกพูดกันว่า
พระสิทธัตถะมิได้ศึกษาศิลปะใด ๆ เลย เที่ยวขวนขวายแต่การเล่น ดังนี้ ลูกจะเห็นว่าถึงกาลอันควรหรือยัง พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปะ ขอพระองค์ได้โปรดให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระนคร เพื่อให้มาดูการแสดงศิลปะของข้าพระองค์ แต่นี้อีก ๗ วันข้าพระองค์ก็จักแสดงศิลปแก่พระญาติทั้งหลาย. พระราชาได้ทรงกระทำตามเช่นนั้น. พระโพธิสัตว์รับสั่งให้ประชุมเหล่านายขมังธนูที่สามารถยิงได้ดังสายฟ้าแลบ ยิงขนหางสัตว์ได้ ยิงต้านลูกศรได้ ยิงตามเสียงได้ และยิงลูกศรตามลูกศรได้ แล้วได้ทรงแสดงศิลปะ ๑๒ อย่าง ที่พวกนายขมังธนูเหล่าอื่นไม่มีแก่พระญาติทั้งหลาย ในท่ามกลางมหาชน ข้อนั้นพึงทราบตามนัยที่มีมาในสรภังคชาดกนั้นเถิด ในคราวนั้น หมู่พระญาติของพระองค์ได้หมดพระทัยสงสัยเสียแล้ว.
ต่อมาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะเสด็จยังภูมิภาคในพระอุทยาน จึงตรัสเรียกสารถีมาตรัสว่า จงเทียมรถ เขารับพระดำรัสว่าดีแล้ว จึงประดับประดารถชั้นดีที่สุด มีค่ามากด้วยเครื่องอลังการทุกชนิด เทียมม้าสินธพอันเป็นมงคล ซึ่งมีสีดุจกลีบดอกบัวขาว ๕ ตัว เสร็จแล้วไปทูลบอกแด่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันเป็นเช่นกับเทววิมาน ทรงบ่ายพระพักตร์สู่พรอุทยาน เทวดาทั้งหลายคิดว่า กาลที่จะตรัสรู้ของพระสิทธัตถะราชกุมารใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจักแสดงบุพนิมิต แล้วแสดงเทวบุตรคนหนึ่ง ทำให้เป็นคนแก่หง่อม มีฟันหัก มีผมหงอก มีหลังโกงดุจกลอนเรือน มีตัวโค้งลง มีมือถือไม้เท้า เดินงก ๆ เงิ่น ๆ อยู่ พระโพธิสัตว์และสารถีได้ทอดพระเนตรเห็นและแลเห็นภาพนั้น. ทีนั้นพระโพธิสัตว์ตรัสถาม ตามในที่มีมาในอุปาทานนั่นแหละว่า นี่แน่ะสหายผู้เจริญ ชายคนนี้ชื่ออะไรกันนะ แม้แต่ผมของเขาก็ไม่เหมือนของผู้อื่นดังนี้ ทรงสดับคำของสารถีแล้ว ทรงมีพระทัยสังเวชว่า นี่แน่ะผู้เจริญ น่าติเตียนจริงหนอความเกิดนี้ ความแก่จักต้องปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดแล้วอย่างแน่นอน ดังนี้แล้ว เสด็จกลับจากพระอุทยาน เสด็จขึ้นสู่ปราสาททีเดียว พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไรบุตรของเราจึงกลับเร็วนัก พวกอำมาตย์ทูลว่า เพราะทอดพระเนตรเห็นคนแก่ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า พวกเจ้าพูดว่า ลูกของเราเห็นคนแก่แล้วจักบวช เพราะเหตุไร จึงทำลายเราเสียเล่า จงรีบจัดหาละครมาแสดงแก่บุตรของเรา เธอเสวยสมบัติอยู่จักไม่ระลึกถึงการบรรพชา แล้วให้เพิ่มอารักขามากขึ้น วางไว้ทุก ๆ ครึ่งโยชน์ในทุกทิศ.
ในวันรุ่ง พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปยังพระอุทธยานเหมือนเดิม ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บที่เทวดาเนรมิตขึ้น จึงตรัสถามโดยนัยก่อนนั้่นแหละ ทรงมีพระหฤทัยสังเวช แล้วกลับสู่ปราสาท. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถาม แล้วทรงจัดแจงตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ ทรงวางอารักขาเพิ่มขึ้นอีก ในที่มีประมาณ ๓ คาพยุตโดยรอบ. ต่อมาอีกวันหนึ่งพระโพธิสัตว์เสด็จไปยังพระอุทธยานเหมือนเดิม ทอดพระเนตรเห็นคนตายที่เทวดาเนรมิตขึ้น ตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ มี พระหฤทัยสังเวช แล้วเสด็จกลับสู่ปราสาทอีก
กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ ทรงวางอารักขาเพิ่มขึ้นอีก ในที่ประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ. ก็ในวันหนึ่งต่อมาอีก พระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่พระอุทธยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิตนุ่งห่มเรียบร้อย มีเทวดาเนรมิตขึ้นเช่นเดิมนั่นแหละ จึงตรัสถาม
ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถาม แล้วทรงจัดแจงตามนัยที่สารถีว่า นี่แน่ะเพื่อน คนนั้นเขาเรียกชื่ออะไรนะ
สารถีไม่ทราบถึงบรรพชิตหรือคนที่ทำให้เป็นบรรพชิตเลย เพราะไม่มีการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ด้วยอานุภาพแห่งเทวดา จึงกราบทูลว่า คนนั้นเขาเรียกชื่อว่าบรรพชิตพระเจ้าข้า แล้วพรรณนาคุณแห่งการบวช พระโพธิสัตว์ให้รู้สึกเกิดความพอพระทัยในบรรพชิต
ได้เสด็จไปยังพระอุทธยานในวันนั้น. แต่ท่านผู้กล่าวทีฆนิกาย กล่าวว่า พระโพธิสัตว์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง ๔ ในวันเดียวเท่านั้น พระโพธิสัตว์เสด็จเที่ยวเตร่ตลอดวัน ทรงสระสนานในสระโบกขรณีอันเป็นมงคล เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล มีพระประสงค์จะประดับประดาพระองค์ ทีนั้นพวกบริจาริกาของพระองค์ พากันถือผ้ามีสีต่าง ๆ เครื่องอาภรณ์ต่างชนิดมากมาย และดอกไม้ของหอม เครื่องลูกไล้ มายืนห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ในขณะนั้น อาสนะที่ประทับนั่งของท้าวสักกะได้เกิดร้อนขึ้นแล้ว ท้าวเธอทรงใคร่ครวญดูว่า ใครหนอมีประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่นี้ ทอดพระเนตรเห็นกาลที่จะต้องประดับประดาพระโพธิสัตว์ จึงทรงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสว่า ดูก่อนวิสสุกรรมผู้สหาย วันนี้สิทธัตถะราชกุมารจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมน์ในเวลาเที่ยงคืน
...................................................
ขอขอบพระคุณเจ้าของรูปภาพพุทธประวัติด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น