มีเรื่องเล่าว่า พระเชฏฐภคินีพระองค์นี้ ประชวรเป็นโรคเรื้อน มีความอาย ไม่ประสงค์จะอยู่ในพระนคร จึงได้ทูลขอโอกาสพระราชอนุชาไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำในป่าโดยให้เป็นภาระช่วยเพียงให้ราชบุรุษนำเสบียงอาหารไปส่งนาน ๆ ครั้ง พระนางจัดทำอาหารเสวยเอง ที่ถ้ำนั้นมีประตูเปิดปิดได้เรียบร้อย
แม้พระเจ้ากรุงเทวทหะ ก็ทรงพระประชวรเป็นโรคเรื้อนเช่นกัน ทรงละอายประชาราษฏร์ ทั้งเกรงจะเป็นที่รังเกียจของพระประยูรญาติและอำมาตย์ราชบริภารใกล้ชิด จึงมอบราชสมบัติให้ราชโอรส แล้วพระองค์ทรงศรขรรค์หลีกไประทับอยู่ในป่ากระเบา (โละ) แต่พระองค์เดียว บังเอิญต้นกระเบาต้นหนึ่งต้นใหญ่มาก มีโพรงใหญ่พอเป็นที่อาศัยได้ จึงทรงจัดแจงตกแต่งโพรงไม้กระเบาให้เป็นที่อาศัยสืบมา
ทรงเบื่อหน่ายในพระชนม์ชีพที่โรคเบียดเบียน ทั้งว้าเหว่เปลี่ยวเปล่าพระหฤทัย จึงทรงเสวยผลโกละ (กระเบา) อันมีรสเมา ซึ่งมีชุมในป่านั้น ปรารถนาจะปลิดพระชนม์ชีพเสีย หากแต่คุณภาพของผลโกละกลับเป็นยารักษาโรคเรื้อนได้อย่างดีจนทรงรู้สึกสบายพระกาย โรคทุเลาลงเป็นลำดับ เลยทรงยึดเอาเป็นพระโอสถบำบัดโรคเรื้อนประจำทีเดียว ครั้นทรงกำลังดีแล้ว เสด็จเที่ยวไปในป่า เพลินในการชมนกชมไม้และสัตว์ รวมทั้งทิวเขาถ้ำเหวเป็นลำดับ จนใกล้ถึงถ้ำอันเป็นที่อยู่ประทับของพระเชฎฐภคินี พระพี่นางกษัตริย์ศากยวงศ์ ในราตรี บังเอิญเสือโคร่งมฤคราชเดินแสวงหาอาหาร ไปถึงถ้ำนั้น ได้กลิ่นมนุษย์อยู่ในถ้ำนั้น จึงใช้เท้าตะกุยประตู้ำเพื่อจะเข้าไป พระนางเจ้าตกพระทัย กล้วภัยแต่มฤคราชนั้น ทรงร้องกรีดด้วยเสียงอันดัง เสือโคร่งตกใจเสียงนี้ จึงหนีไป
เสียงของพระนางที่ร้องในป่ากลางดึกสงัด ก้องไปไกล กระทบโสตพระเจ้ากรุงเทวทหะ ทำให้สนพระทัยในเสียงนั้น ทรงหมายพระทัยว่า "เสียงที่ร้องนั้น เป็นเสียงมนุษย์หญิง อยู่ในที่ไม่ไกลนัก" ครั้นเพลงรุ่งเช้าก็เสด็จดำเนินไปตามทางเสียงนั้น ไม่ช้าก็ถึงทางเข้าถ้ำพระเชฏฐภคินีทรงกำหนดเห็นรอยเท้ามนุษย์เดินเข้าออก กับมีรอยเท้าเสือ ก็เสด็จตามเข้าไป ครั้นถึงประตูถ้ำก็ทรงทราบว่า ในถ้ำมีมนุษย์อาศัยด้วย มีประตูปิดอยู่จึงเคาะประตูถ้ำและตรัสสเรียก เมื่อได้ยินเสียงคนถามว่า "ใคร ? " จึงทรงตรัสบอกว่า "พระองค์เป็นคนเดินป่า ไม่ใช่สัตว์ร้ายขอให้เปิดรับ" พระนางเจ้าตรัสว่า "พระนางเป็นโรคเรื้อน เป็นที่น่ารังเกียจ ไม่ควรจะพบกัน" พระเจ้ากรุงเทวทหะก็ทรงรับสั่งว่า "แม้พระองค์ก็ทรงเป็นดรคเรื้อนเช่นกัน มีความละอายญาติมิตร ต้องหลีกมาอยู่ป่า พระนางไม่น่าจะรังเกียจ" แม่เช่นั้นแล้วพระนางยังอิดเอื้อน ว่า "พระนางเป็นกษัตริย์ ซึ่งจำต้องสงวยเกียรติของสกุลไว้ เมื่อไม่จำเป็นแล้วไม่ควรจะพบชายต่างชั้นตามลำพังในไพรชัฏเช่นนี้"
พระเจ้ากรุงเทวทหะทรงรับสั่งว่า "ช่างเป็นโชคดีของพระองค์อีก เพราะพระองค์ก็เป็นกษัตริย์สละราชสมบัติออกมาอยู่ไพรเช่นเดียวกัน ซึ่งโดยมารยาทแล้ว พระนางจะต้องต้อนรับด้วยดี" พระนางไม่เชื่อ รับสั่งว่า "เพียงถ้อยคำที่กล่าวมาไม่น่าจะเชื่อ ขอให้พระองค์แสดงจารีตและมารยาทของกษัตริย์ให้ฟังก่อน ซึ่งถ้าเป็นกษัตริย์แท้แล้ว จะต้องทราบ เพราะมีการศึกษามาด้วยดีแล้ว" ครั้นพระเจ้ากรุงเทวทหะแสดงจารีตและมารยาทอันกษัตริย์ทั้งหลายจะต้องศึกษา และปฏิบัติมาดีแล้วเสมอกันหมด จบลงพระนางก็วางพระหฤทัยเปิดประตูถ้ำออกมาทูลเชิญเข้าไป ต่างก็ได้สนทนาถามถึงความเดือดร้อน เพราะโรคเรื้อนอันเป็นเหตุร้าย จำต้องละบ้านเมืองมา พระเจ้ากรุงเทวทหะก็ทรงแนะนำให้รักษาด้วยให้เสวยผลโกละ ยิ่งกว่านั้น ยังทรงรับอาสาไปจัดทำมาถวายการรักษาแก่พระนาง ตลอดเวลาที่พระเจ้าเทวทหะทรงอุปการะช่วยรักษาแก่พระนาง ในไม่ช้าโรคเรื้อนก็สงบ เมื่อพระนางหายจากโรคผิวพรรณผ่องใสมีความสุข ภายหลังมีความปฏิพัทธ์ในพระเจ้ากรุงเทวทหะ ได้สมสู่อยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก
ต่อมา พรานป่าชาวเมืองเทวทหะมาพบเข้า จึงนำเอาข่าวนี้เข้าไปในเมือง พระโอรสของพระเจ้ากรุงเทวทหะและอำมาตย์ราชบริพารล้วนแต่มีความจงรักภักดีในพระเจ้ากรุงเทวทหะ จึงปรึกษาและตกลงพร้อมใจกันไปทูลอัญเชิญให้กลับมาครองราชสมบัติอีก แต่พระเจ้ากรุงเทวทหะไม่สมัครใจในอันไปอยู่ครองราชสมบัติ ซึ่งประทานให้พระโอรสแล้ว ทั้งเกรงว่าพระราชโอรสกับพระมเหสีใหม่จะไม่สามัคคีกัน ก็จะเป็นความเดือดร้อน จึงเป็นแต่เพียงขอกำลังโยธาทหาร จึงจัดสร้างพระนครขึ้นใหม่อีกนครหนึ่งตรงที่ต้นกระเบาใหญ่ ซึ่งพระองค์ได้เคยอาศัยรักษาพระองค์มาด้วยความสวัสดี ถือเป็นนิมิตมงคลอันดีด้วย ต่อมาทรงได้พระโอรส อันประสูติแต่พระนางเจ้าเชฏฐภคินี แห่งกษัตริย์ศากยวงศ์ผู้มีเชื้อสายสูงเช่นกัน จึงได้ทรงจัดตั้งวงศ์กษัตริย์นี้ขึ้น เรียกว่า โกลิยวงศ์ สืบมา
..................................
คัดลอกจากหนังสือ พุทธประวัติทัศนศึกษา
นิพนธ์ของ พระพิมลธรรม (ชอบ อนุจาริมหาเถระ ร.บ.)