วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

ตรัสรู้



           ขอนอบน้อมแด่พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น





ต่อจากนั้น  พระมหาบุรุษได้ทรงเจริญญาณ  อันเป็นองค์ปัญญาชั้นสูงทั้ง ๓ ประการ  ยังองค์พระโพธิญาณให้บังเกิดขึ้นเป็นลำดับ  ตามระยะกาลแห่งยามสาม อันเป็นส่วนราตรีนั้น คือ ในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกอดีตชาติที่พระองค์ทรงบังเกิดมาแล้วทั้งสิ้นได้  ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ บางแห่งเรียกว่า ทิพยจักษุ สามารถหยั่งรู้การเกิดการตาย ตลอดจนการเวียนว่ายของสรรพสัตว์ทั้งหลายได้หมด  ในปัจฌิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ทรงปรีชาสามารถทำอาสวกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้นไปด้วยพระปัญญา พิจารณาในปัจจยาการแห่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม  ก็ทรงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลาปัจจุสมัย

รุ่งอรุโณทัยทรงเบิกบานพระหฤทัยอย่างสูงสุดในการตรัสรู้  อย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อนกาล  ถึงกับทรงอุทาน เย้ยตัณหาอันเป็นตัวการก่อให้เกิดสังสารวัฏฏทุกข์แก่พระองค์  แต่อเนกชาติได้ว่า  ""   อเนกชาติสํสารํ  เป็นอาทิ  ความว่า  นับแต่ตถาคตท่องเที่ยวสืบเสาะหาตัวนายช่างผู้กระทำเรือน  คือ ตัวตัณหา ตลอดชาติสงสารจะนับประมาณมิได้  ก็มิได้พานพบ  ดูกร ตัณหา นายช่างเรือน บัดนี้ตถาคตพบท่านแล้ว  แต่นี้สืบไป  ท่านจะทำเรือนให้ตถาคตอีกไม่ได้แล้ว  กลอนเรือน เราก็รื้อออกเสียแล้ว ช่อฟ้า เราก็ทำลายเสียแล้ว จิตของเราเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นธรรมที่ปราศจากสังขารเสียแล้ว  ได้ถึงความดับสูญสิ้นไปแห่งตัณหา  อันหาส่วนเหลือมิได้แล้ว"

ในขณะนั้น  ความอัศจรรย์ก็บังเกิดมี  พื้นมหาปฐพีอันกว้างใหญ่ก็หวั่นไหว พฤกษาชาติทั้งหลายก็ผลิดอกออกช่องามตระการ  เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าก็พากันแซ่ซ้องสาธุการ  โปรยปรายบุปผามาลัยทำการสักการะ  เปล่งวาจาว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก !   ด้วยความปีติยินดีเป็นอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาในกาลก่อน

                                                       .....................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น